Читать онлайн книгу "หน้าที่ของผู้กล้า"

หน้าที่ของผู้กล้า
มอร์แกน ไรซ์


วงแหวนของผู้วิเศษ #6
ใน หน้าที่ของผู้กล้า (เล่ม 6 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ) �อร์ยังคงทำภารกิจ เดินทางลึกเข้าไปในดินแดนจักรวรรดิ เพื่อตามหาดาบแห่งโชคชะตาและช่วยอาณาจักรวงแหวน เมื่อเขาและเพื่อน ๆ ต้องพบกับเหตุการณ์เศร้าสลดที่ไม่คาดฝันและต้องสูญเสียสมาชิกในกลุ่มไปหนึ่งคน �อร์และเพื่อนที่เหลือจึงสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าที่เคย และได้เรียนรู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญเคราะห์กรรมและผ่านพ้นมันไปด้วยกัน การเดินทางของพวกเขาพาพวกเขาไปสู่ดินแดนแปลกใหม่ รวมถึงทุ่งเกลือรกร้าง อุโมงค์ยักษ์ และเทือกเขาแห่งไฟ ที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดเจ้าถิ่นมากมายทักษะของ�อร์ยิ่งล้ำลึกขึ้น เมื่อเขาต้องผ่านการฝึกฝนที่ล้ำหน้าไปมาก และเขาจำเป็นต้องดึงพลังงานอันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าที่เขาเคยใช้ออกมาเพื่อเอาชีวิตรอด ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบสถานที่ที่ดาบถูกนำมาซ่อนไว้ และได้รู้ว่าการจะนำดาบกลับไปนั้น พวกเขาจะต้องเสี่ยงอันตรายเข้าไปในดินแดนที่น่ากลัวที่สุดในจักรวรรดิ ไปยังดินแดนแห่งมังกรส่วนที่อาณาจักรวงแหวน เจ้าหญิงเกว็นโดลีนทรงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และต้องต่อสู้กับความสิ้นหวังหลังจากที่พระนางถูกโจมตี เจ้าชายเคนดริคและคนอื่นปฏิญาณที่จะต่อสู้เพื่อเกียรติยศ แม้จะโอกาสจะมีน้อยก็ตาม นอกจากนี้ยังมีการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรวงแหวนตามมาอีก ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่ออิสรภาพของซิเลเซียและมีชัยเหนือแอนโดรนิคัสระหว่างนั้น เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงปลอมตัวแฝงเข้าไปในเขตแดนศัตรู และทรงเรียนรู้ที่จะเป็นนักรบในแบบของพระองค์เอง ราชากาเร็�ยังทรงรอดชีวิต ทรงใช้เล่เพทุบายในการหลบหนีการจับกุมของแอนโดรนิคัส ส่วนอีเร็คต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดและช่วยเหลือซาวาเรียจากการบุกของแอนโดรนิคัส และเพื่อช่วยอลิสแตร์ ยอดรักของเขา อาร์กอนต้องแลกด้วยราคาแสนแพงจากการทำในสิ่งต้องห้าม ที่เข้ามาก้าวก่ายกับชะตาของมนุษย์ และเจ้าหญิงเกว็นโดลีนจะต้องตัดสินพระทัยว่าจะทรงสละพระชนม์ชีพ หรือเลือกชีวิตปลีกวิเวกเป็นแม่ชีที่หอคอยหลบลี้อันเก่าแก่ แต่ก่อนนั้นยังจะมีเหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นอีก และในที่สุด�อร์ก็จะได้รู้ว่าบิดาที่แท้จริงของเขาเป็นใคร�อร์และคนอื่น ๆ จะรอดชีวิตจากภารกิจหรือไม่? พวกเขาจะสามารถนำดาบแห่งโชคชะตากลับมาได้หรือไม่? อาณาจักรวงแหวนจะรอดพ้นจากเงื้อมือของแอนโดรนิคัสหรือไม่? จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงเกว็นโดลีน เจ้าชายเคนดริคและอีเร็ค? และใครคือบิดาที่แท้จริงของ�อร์?ด้วยการสร้างสรรค์ตัวละครและเนื้อเรื่องที่เป็นผลงานระดับโลก ทำให้ หน้าที่แห่งผู้กล้า เป็นมหากาพย์เรื่องราวของเพื่อนและคู่รัก คู่แข่งและคู่แค้น อัศวินและมังกร แผนทางการเมืองและเล่ห์เพทุบาย การเติบโต การอกหัก การหลอกลวง ความทะเยอะทะยานและการทรยศ และยังเป็นเรื่องราวแห่งเกียรติยศและความกล้าหาญ โชคชะตา วาสนาและเวทมนต์ เป็นนิยายแฟนตาซีที่จะนำเราไปสู่โลกที่เราจะไม่มีวันลืม ซึ่งเหมาะกับทุกเพศและวัย ด้วยความยาว 70,000 คำ





Morgan Rice

หน้าที่ของผู้กล้า (เล่ม 6 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ)




ประวัติ มอร์แกน ไรซ์

มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ จำนวน 2 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ หนังสือของ มอร์แกน มีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา

มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!



คำนิยมสำหรับ มอร์แกน ไรซ์

“วงแหวนของผู้วิเศษ  มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพัน�์ที่เบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกหลวงและการทรยศ มันจะทำให้คุณเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านเรื่องแฟนตาซี”



В В В В --Books and Movie Reviews, Roberto Mattos

“นิยายมหากาพย์แฟนตาซีที่น่าสนุกสนาน”



В В В В --Kirkus REviews

“จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าดึงดูดใจ”



    -– San Francisco Book Review

“อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย…งานเขียนของไรซ์ช่างเข้มข้นและวางโครงเรื่องอย่างมีเหตุมีผล”



    -– Publishers Weekly

“นิยายแฟนตาซีที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์นิยายสำหรับวัยรุ่นที่เหมาะสม”



    -– Midwest Book Review



หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์

กษัตริย์และผู้วิเศษ

กำเนิดราชันย์มังกร (เล่ม 1)

กำเนิดความกล้าหาญ (เล่ม 2)



ชุด วงแหวนของผู้วิเศษ

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)

การเดินทางแห่งราชา (เล่ม 2)

ชะตาแห่งมังกร (เล่ม 3)

เสียงร่ำร้องแห่งเกียรติยศ (เล่ม 4)

คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี (เล่ม 5)

หน้าที่ของผู้กล้า (เล่ม 6)

อำนาจแห่งดาบ (เล่ม 7)

ประทานพรแห่งสรรพาวุ� (เล่ม 8)

นภาแห่งเวทมนตร์ (เล่ม 9)

ท้องทะเลแห่งโล่ (เล่ม 10)

การครองราชย์แห่งเหล็กกล้า (เล่ม 11)

ดินแดนแห่งเปลวเพลิง (เล่ม 12)

บัญญัติแห่งราชินี (เล่ม 13)

คำสาบานของพี่น้อง (เล่ม 14)

ความฝันแห่งมรณะ (เล่ม 15)

การแข่งขันของอัศวิน (เล่ม 16)

ของขวัญจากการต่อสู้ (เล่ม 17)



ไตรภาคแห่งหนทางการอยู่รอด

สนามที่หนึ่ง ปลดปล่อยความเป็นทาส (เล่ม 1)

สนามที่สอง (เล่ม 2)



บันทึกของแวมไพร์

กลายร่าง (เล่ม 1)

ความรัก (เล่ม 2)

การทรยศ (เล่ม 3)

พรหมลิขิต (เล่ม 4)

ความปรารถนา (เล่ม 5)

การหมั้นหมาย (เล่ม 6)

คำสาบาน (เล่ม 7)

การค้นหา (เล่ม 8)

ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)

การโหยหา (เล่ม 10)

โชคชะตา (เล่ม 11)















ลิขสิท�ิ์ © 2013 โดย มอร์แกน ไรซ์

สงวนลิขสิท�ิ์ ยกเว้นที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติลิขสิท�ิ์ ของสหรัฐฯ พ.ศ. 2519 ห้ามนำส่วนใดของการเผยแพร่นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายหรือถ่ายทอดในรูปแบบใด ๆ หรือโดยความหมายใด ๆ หรือเก็บบันทึกเป็นข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน

หนังสือ ebook นี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และ ebook เล่มนี้ไม่อาจนำไปขายซ้ำ หรือยกให้ผู้อื่น หากคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับผู้อื่น ขอความกรุณาซื้อเพิ่มใหม่เป็นส่วนตัว หากคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ ขอความกรุณาส่งคืนและดำเนินการซื้อในนามของคุณ ขอบคุณที่ให้ความเคารพในการทำงานอย่างหนักของผู้เขียน

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร �ุรกิจ องค์กร สถานที่ สถานการณ์ และเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน หรือเป็นการแต่งขึ้น ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นความบังเอิญทั้งสิ้น

Jacket image Copyright RazoomGame, used under license from Shutterstock.com.








“คนขลาดตายหลายครั้งก่อนจะพบความตายของตัวเอง
ผู้กล้าไม่เคยลิ้มรสความตายแม้สักครั้ง”

    --วิลเลียม เชคสเปียร์
    จูเลียส ซีซาร์






аёљаё—аё—аёµа№€ аё«аё™аё¶а№€аё‡


ราชินีเกว็นโดลีนทรงนอนคว่ำพระพักตร์อยู่บนทุ่งหญ้า ทรงรู้สึกถึงสายลมเย็นพัดผ่านพระฉวีเปลือยเปล่า ขณะทรงพยายามลืมพระเนตรขึ้นช้า ๆ โลกเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง พระนางทรงอยู่ในสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ในทุ่งดอกไม้ที่สว่างไสวในแสงแดด �อร์และพระบิดาทรงอยู่ด้วย ทุกคนกำลังหัวเราะและมีความสุข ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ

แต่ตอนนี้ เมื่อพระนางทรงลืมพระเนตรขึ้น โลกตรงหน้าแตกต่างออกไป พื้นดินแข็งและเย็น และผู้ที่อยู่ตรงหน้าพระนาง และกำลังยืนขึ้นช้า ๆ ไม่ใช่�อร์ แต่เป็นปิศาจชั่วร้าย ราชาแม็คคลาวด์ พระองค์ทรงเสร็จ�ุระกับพระนางแล้ว และประทับยืนขึ้นช้า ๆ ทรงสวมสนับเพลา แล้วทอดพระเนตรมองลงมาด้วยความพอพระทัย

ความทรงจำกลับคืนมาสู่พระนางทันที ทรงยอมศิโรราบต่อแอนโดรนิคัส แต่มันกลับทรยศ พระนางทรงถูกราชาแม็คคลาวด์ทำร้าย พระปรางแดงเมื่อทรงจำได้ว่าพระนางทรงไร้เดียวสาเพียงใด

ราชินีเกว็นโดลีนทรงนอนนิ่ง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งพระวรกาย พระทัยสลาย และทรงอยากจะตายยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต

พระนางทรงเบิกพระเนตรกว้างขึ้นและเห็นกองทัพของแอนโดรนิคัส ทหารมากมายต่างกำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความอับอายของพระนางยิ่งล้ำลึก พระนางไม่น่ายอมศิโรราบให้แก่ปิศาจร้ายตนนี้ พระนางน่าจะยืนหยัดต่อสู้ น่าจะทรงฟังเจ้าชายเคนดริคและคนอื่น ๆ แอนโดรนิคัสหลอกพระนางด้วยสัญชาตญาณการเสียสละของพระนาง และทรงหลงเชื่อมัน ราชินีทรงอยากจะเผชิญหน้ากับมันในสนามรบ ถึงแม้จะต้องสิ้นพระชนม์ แต่อย่างน้อยพระนางก็จะสิ้นพระชนม์อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี

ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้แน่ชัดเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าพระนางทรงกำลังจะสิ้นพระชนม์ แต่นั่นกลับไม่ทำให้ทรงกังวลพระทัยอีกต่อไป พระนางทรงไม่ใส่พระทัยกับความตายอีกแล้ว ทรงสนพระทัยเพียงได้ตายด้วยวิถีของพระนาง และยังทรงไม่พร้อมที่จะตาย

ขณะที่พระนางทรงนอนนิ่งอยู่นั้น ราชินีเกว็นโดลีนทรงแอบกำดินไว้ในพระหัตถ์ข้างหนึ่ง

“เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว” ราชาแม็คคลาวด์สั่งด้วยสุรเสียงแหบห้าว “ข้าเสร็จเรื่องกับเจ้าแล้ว ถึงตาคนอื่นบ้างแล้ว”

ราชินีเกว็นทรงกำดินในพระหัตถ์แน่นจนข้อนิ้วพระหัตถ์ขาว และทรงภาวนาให้มันได้ผล

พระนางทรงดีดตัวหมุนพระองค์อย่างรวดเร็วแล้วขว้างดินในพระหัตถ์ใส่พระเนตรราชาแม็คคลาวด์

พระองค์ทรงไม่คาดคิด และส่งเสียงร้องออกมา พลางผงะเซถอยหลัง ยกพระหัตถ์ขึ้นปัดดินออกจากพระเนตร

ราชินีเกว็นทรงอาศัยจังหวะนั้น พระนางทรงเติบโตขึ้นมาในราชสำนัก มีอัศวินเป็นผู้เลี้ยงดู พวกเขามักจะสอนให้พระนางทรงโจมตีซ้ำ ก่อนที่ศัตรูจะมีเวลาตั้งตัว และยังสอนบทเรียนที่พระนางจะไม่มีทางลืม ไม่ว่าจะทรงมีอาวุ�หรือไม่ จะต้องทรงมีอาวุ�เสมอ พระนางทรงสามารถใช้อาวุ�ของศัตรูได้

ราชินีเกว็นทรงคว้าพระแสงมีดสั้นจากรัดพระองค์ของราชาแม็คคลาวด์ เงื้อขึ้นสูงแล้วจ้วงแทงลงที่หว่างขา

ราชาแม็คคลาวด์ส่งเสียงร้องดังออกมา เลื่อนพระหัตถ์จากพระเนตรลงไปคว้าที่หว่างพระเพลา โลหิตไหลทะลักลงมาระหว่างพระเพลาของพระองค์ เมื่อทรงดึงพระแสงมีดสั้นออก พลางอ้าโอษฐ์ค้างด้วยความเจ็บปวด

ราชินีเกว็นโดลีนทรงพอพระทัยที่ทรงสามารถทำการแก้แค้นเล็ก ๆ นี้ได้ แต่แล้วพระนางกลับต้องประหลาดพระทัย บาดแผลที่น่าจะทำให้คนอื่นล้มคว่ำลงไปแล้ว กลับไม่ได้ทำให้ราชาแม็คคลาวด์ช้าลงเลย พระองค์ทรงเป็นปิศาจที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ พระนางทรงสร้างบาดแผลฉกรรจ์ ตรงที่ ๆ พระองค์สมควรจะได้รับ แต่มันไม่ได้ฆ่าพระองค์ ไม่แม้แต่จะทำให้พระองค์ทรุดลงด้วยซ้ำ

ราชาแม็คคลาวด์กลับทรงถือพระแสงมีดสั้นเล่มนั้น ที่มีโลหิตไหลหยด พลางยิ้มเยาะด้วยแววอาฆาต พระองค์ทรงก้าวเข้าใกล้ กำพระแสงไว้แน่นด้วยพระหัตถ์สั่นเทา ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้ว่าเวลาของพระนางมาถึงแล้ว อย่างน้อยที่สุดพระนางก็จะได้ตายพร้อมกับความพอพระทัยเล็ก ๆ นี้

“ข้าจะเฉือนหัวใจเจ้าออกมาป้อนให้เจ้ากิน” ราชาแม็คคลาวด์ตรัส “เตรียมตัวรับความเจ็บปวดที่แท้จริงเถิด”

ราชินีเกว็นโดลีนทรงเตรียมรับพระแสงที่กำลังจะแทงลงมา เตรียมพร้อมที่จะพบกับความตายอันเจ็บปวด

เสียงกรีดร้องดังขึ้น หลังจากที่ตกพระทัยอยู่ครู่หนึ่ง ราชินีเกว็นโดลีนต้องประหลาดพระทัยที่รู้ว่าเสียงร้องนั้นไม่ใช่เสียงของพระนาง แต่เป็นราชาแม็คคลาวด์ที่ทรงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

ราชินีเกว็นทรงลดพระหัตถ์ลงแล้วเงยขึ้นมองด้วยความสับสน ราชาแม็คคลาวด์ทรงปล่อยพระแสงหลุดจากพระหัตถ์ พระนางทรงกระพริบพระเนตรหลายครั้ง ทรงพยายามเข้าใจภาพที่เห็นตรงหน้า

ราชาแม็คคลาวด์ประทับยืนอยู่ตรงนั้นโดยมีลูก�นูแทงอยู่ในพระเนตร พระองค์ทรงร้องโหยหวน พระโลหิตทะลักจากพระเนตร ขณะที่ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นจับลูก�นูไว้ พระนางทรงไม่เข้าพระทัย ราชาแม็คคลาวด์ทรงถูกยิง แต่อย่างไรกันเล่า? และใครเป็นผู้ลงมือ?

ราชินีเกว็นทรงหันไปทางที่ลูก�นูถูกปล่อยมา พระนางทรงพระทัยชื้นเมื่อทรงเห็นสเตฟเฟนยืนอยู่ที่นั่น ถือคัน�นูไว้ในมือ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกองทหาร และก่อนที่ใครจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น สเตฟเฟนก็ยิงออกมาอีกหกลูก ทีละลูก ๆ ทำให้ทหารหกคนที่ยืนอยู่ข้างราชาแม็คคลาวด์ล้มลง ลูก�นูแทงทะลุลำคอของทุกคน

สเตฟเฟนเตรียมจะยิงอีก แต่ในที่สุดพวกทหารก็เห็นเขาและกระโจนเข้าใส่ ตะลุมบอนจับเขากดลงกับพื้น

ราชาแม็คคลาวด์ยังคงส่งเสียงร้อง พระองค์ทรงหันหลังแล้ววิ่งเข้าใส่ฝูงชน น่าประหลาดที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ ราชินีเกว็นทรงหวังให้พระองค์ทรงตกพระโลหิตจนตาย

ราชินีเกว็นทรงนึกขอบใจสเตฟเฟนมากกว่าที่เขาจะรู้ พระนางทรงรู้ว่าคงจะต้องตายที่นี่ในวันนี้ด้วยน้ำมือของใครบางคน แต่อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของราชาแม็คคลาวด์

ค่ายทหารเงียบเสียงลงเมื่อแอนโดรนิคัสทรงยืนขึ้นและเสด็จมาหาราชินีเกว็นโดลีนช้า ๆ พระนางทรงนอนมองเขาเข้ามาใกล้ แอนโดรนิคัสตัวสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับภูเขากำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา เหล่าทหารเดินตามมาด้านหลังเมื่อแอนโดรนิคัสใกล้เข้ามา สนามรบเงียบสนิท มีเพียงเสียงสายลม

แอนโดรนิคัสหยุดห่างออกไปไม่กี่ฟุต ชะโงกเงื้อมอยู่เหนือพระนาง ทอดพระเนตรมองลงมา พระพักตร์เรียบเฉย ทรงยกหัตถ์ขึ้นแตะสร้อยพระศอร้อยศีรษะหดย่อช้า ๆ มีเสียงประหลาดดังมาจากพระอุระและพระศอ ฟังคล้ายเสียงแมวคราง พระองค์ดูเหมือนจะกริ้วและประหลาดพระทัยไปพร้อมกัน

“เจ้ากล้าท้าทายแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่” พระองค์ตรัสช้า ๆ ทั้งค่ายต่างนิ่งฟังสุรเสียงห้าวลึกฟังดูโบราณ พระสุรเสียงทรงอำนาจดังสะท้อนก้องไปทั่ว “มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าเจ้าจะยอมรับการลงทัณฑ์ ตอนนี้เจ้าจะต้องรู้จักกับความเจ็บปวดที่แท้จริง”

แอนโดรนิคัสทรงหยิบพระแสงดาบที่ยาวกว่าดาบที่ราชินีเกว็นทรงเคยเห็น มันน่าจะยาวราวแปดฟุต เสียงโลหะดังสะท้อนไปทั่วสนามรบ พระองค์ทรงถือพระแสงดาบกระชับแน่น หันรับแสงอาทิตย์ สะท้อนแสงแรงกล้าทำให้พระเนตรของพระนางพร่ามัว แอนโดรนิคัสทรงขยับพลิกพิจารณาดูมัน ราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“เจ้าเป็นสตรีที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์” พระองค์ตรัส “มันเหมาะสมแล้วที่เจ้าควรจะตายด้วยดาบอันสูงส่ง”

แอนโดรนิคัสทรงก้าวเข้ามาอีกสองก้าว ทรงจับด้ามดาบไว้แน่นด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง แล้วยกขึ้นสูง

ราชินีเกว็นโดลีนทรงหลับพระเนตร พระนางทรงได้ยินเสียงสายลมหวีดหวิว เสียงใบหญ้าขยับ ภาพความทรงจำในอดีตผ่านเข้ามา พระนางทรงรู้สึกถึงความสำเร็จในพระชนม์ชีพ ทุกสิ่งที่พระนางทรงเคยทำ ทุกคนที่ทรงรัก ในสำนึกสุดท้าย พระนางทรงนึกถึง�อร์ ราชินีทรงแตะสร้อยพระศอห้อยเครื่องรางที่เขามอบให้ แล้วกำไว้แน่น ทรงรู้สึกถึงพลังอบอุ่นที่แผ่ออกมา ทรงจำคำพูดของ�อร์ตอนที่มอบมันให้แก่พระนางได้ เขาบอกว่าเครื่องรางนี้ หินสีแดงเก่าแก่ชิ้นนี้ สามารถช่วยชีวิตท่านได้หนึ่งครั้ง

ราชินีทรงกำมันแน่นขึ้น จนรู้สึกว่ามันเต้นตุบ ๆ อยู่ในพระหัตถ์ พระนางทรงภาวนาต่อพระเจ้าด้วยทุกอรูในพระวรกาย

พระเจ้าทรงโปรด ขอให้เครื่องรางนี้ได้ผล ขอทรงโปรดช่วยชีวิตข้าแค่เพียงครั้งนี้ ขอให้ข้าได้พบ�อร์อีกครั้ง

ราชินีเกว็นโดลีนทรงลืมพระเนตร พระนางทรงคาดว่าจะได้เห็นพระแสงดาบของแอนโดรนิคัสฟาดฟันเข้าใส่ แต่พระนางกลับต้องประหลาดพระทัยกับภาพที่เห็น แอนโดรนิคัสประทับนิ่ง ทรงมองเลยพระนางไป ราวกับกำลังดูใครเดินเข้ามา พระองค์ดูประหลาดพระทัยและสับสน เป็นสิ่งที่พระนางทรงไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น

“เจ้าจงวางอาวุ�ลงเดี๋ยวนี้” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังราชินีเกว็นโดลีน

ราชินีเกว็นโดลีนทรงตื่นเต้นที่ได้ยินเสียงนั้น เป็นเสียงที่พระนางทรงรู้จัก ราชินีทรงหันไปและต้องตกพระทัยที่ได้เห็นผู้ที่พระนางทรงรู้จักดีเท่ากับพระบิดาของพระนางเอง

аё­аёІаёЈа№ЊаёЃаё­аё™

เขายืนอยู่ที่นั่น สวมเสื้อคลุมสีขาวมีฮู้ดคลุมศีรษะ ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้ารุนแรงยิ่งกว่าครั้งใดที่พระนางทรงเคยเห็น เขาจ้องตรงไปที่แอนโดรนิคัส พระนางและสเตฟเฟนนอนอยู่บนพื้นระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง พวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังอันเหลือเชื่อ คนหนึ่งมีพลังแห่งความมืด ส่วนอีกคนมีพลังแห่งแสงสว่าง กำลังเผชิญหน้ากัน พระนางทรงแทบจะรู้สึกได้ว่ากำลังเกิดสงครามพลังจิตปะทะกันอยู่เหนือพระเศียร

“ข้าต้องทำอย่างนั้นหรือ?” แอนโดรนิคัสทรงเยาะหยัน พลางแย้มสรวล

แต่ราชินีเกว็นทรงเห็นว่าในรอยแย้มสรวลนั้น ริมพระโอษฐ์ของแอนโดรนิคัสสั่น เป็นครั้งแรกที่พระนางทรงเห็นสิ่งที่ดูคล้ายความกลัวในพระเนตรของแอนโดรนิคัส ทรงไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น แอนโดรนิคัสคงจะทรงรู้จักอาร์กอน และไม่ว่าจะทรงรู้อะไร นั่นน่าจะมากพอที่จะทำให้บุรุษผู้ทรงอิท�ิพลมากที่สุดในโลกรู้สึกกลัว

“เจ้าจะต้องไม่ทำอันตรายนางอีก” อาร์กอนบอกอย่างเยือกเย็น “เจ้าจะต้องยอมรับการยอมจำนนของนาง” เขากล่าวพลางก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาเจิดจ้าสะกดมีพลังสะกด “เจ้าจะต้องยอมให้นางกลับไปหาคนของนาง และเจ้าจะยอมให้ประชาชนของนางยอมจำนน หากพวกเขาต้องการ ข้าจะบอกเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าควรจะฉลาดพอที่จะยอมรับมัน”

แอนโดรนิคัสทรงจ้องมองอาร์กอน และกระพริบพระเนตรหลายครั้ง ราวกับลังเล

ในที่สุดพระองค์ก็ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นแล้วทรงพระสรวลเสียงดัง เป็นเสียงหัวเราะที่ดังที่สุดและชั่วร้ายที่สุดที่ราชินีเกว็นทรงเคยได้ยิน มันดังไปทั่วทั้งค่าย และดูเหมือนจะดังขึ้นไปก้องท้องฟ้า

“มายากลของผู้วิเศษอย่างเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก” แอนโดรนิคัสตรัส “ข้ารู้จักอาร์กอนผู้ยิ่งใหญ่ เคยมีช่วงเวลาที่เจ้าทรงอำนาจ มีคนกล่าวว่าเจ้าทรงอำนาจมากยิ่งกว่าผู้ใด มากกว่ามังกร มากกว่าท้องฟ้าด้วยซ้ำ แต่ยุคสมัยของเจ้าผ่านไปแล้ว ตอนนี้เป็นยุคใหม่ เป็นเวลาของแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าเป็นเพียงของเก่าโบราณ เศษซากจากยุคเก่า สมัยที่แม็คกิลปกครอง สมัยที่เวทมนตร์ยังแข็งแกร่ง สมัยที่อาณาจักรวงแหวนแข็งแกร่ง แต่ชะตาของเจ้าผูกติดอยู่กับอาณาจักรวงแหวน และตอนนี้มันก็อ่อนแอลง เหมือนกับเจ้า”

“เจ้าช่างเขลาที่กล้าเผชิญหน้ากับข้า ตาเฒ่า ตอนนี้เจ้าจะต้องทนทุกข์ เจ้าจะได้รู้จักความแข็งแกร่งของแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่”

แอนโดรนิคัสเยาะหยัน พลางยกพระแสงดาบขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทรงทอดพระเนตรตรงไปที่อาร์กอน

“ข้าจะฆ่านางอย่างช้า ๆ ต่อหน้าเจ้า” แอนโดรนิคัสตรัส “จากนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้าค่อมนั่น ก่อนจะจัดการเชือดเจ้า แต่ข้าจะปล่อยให้เจ้ารอด เป็นหลักฐานที่ยังมีชีวิตแสดงให้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของข้า”

ราชินีเกว็นโดลีนทรงเตรียมพร้อมและผงะหนีเมื่อแอนโดรนิคัสฟันพระแสงดาบลงมาที่พระเศียรของพระนาง

ทันใดนั้นมีบางอย่างเกิดขึ้น พระนางทรงได้ยินเสียงมันแหวกอากาศมาเหมือนกับ�นูนับพันดอก ตามมาด้วยเสียงร้องของแอนโดรนิคัส

พระนางทรงลืมพระเนตรมองอย่างไม่อย่างเชื่อที่ได้เห็นพระพักตร์ของแอนโดรนิคัสบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทิ้งดาบในพระหัตถ์ลงแล้วคุกพระชงลงกับพื้น พระนางทรงเห็นอาร์กอนก้าวเข้ามาอีก ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา มีลูกไฟสีม่วงส่องสว่าง ลูกไฟเริ่มใหญ่ขึ้น ๆ จนล้อมแอนโดรนิคัสไว้ขณะที่อาร์กอนยังคงเดินใกล้เข้ามา ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเดินเข้าใกล้แอนโดรนิคัสมากขึ้นเรื่อย ๆ พลางยื่นฝ่ามือออกมา

แอนโดรนิคัสทรงตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนพื้นขณะที่แสงสว่างล้อมพระวรกายไว้

ทหารของแอนโดรนิคัสต่างอ้าปากค้าง แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ พวกเขาอาจจะทั้งกลัวและอาร์กอนอาจจะร่ายมนตร์ที่ทำให้พวกเขาไร้พลัง

“หยุดเสียที!” แอนโดรนิคัสทรงตะโกน ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระกรรณ “ข้าขอร้อง!”

“เจ้าจะไม่ทำอันตรายนางอีก” อาร์กอนบอกช้า ๆ

“ข้าจะไม่ทำอันตรายนาง!” แอนโดรนิคัสทรงทวนคำ ราวกับอยู่ในภวังค์

“เจ้าจะต้องปล่อยนางไปเดี๋ยวนี้และยอมให้นางกลับไปหาคนของนาง”

“ข้าจะปล่อยนางเดี๋ยวนี้และยอมให้นางกลับไปหาคนของนาง!”

“เจ้าจะให้โอกาสประชาชนของนางยอมจำนน”

“ข้าจะให้โอกาสประชาชนของนางยอมจำนน!” แอนโดรนิคัสทรงร้องเสียงดัง “ได้โปรด! ข้าจะทำทุกอย่าง!”

อาร์กอนสูดหายใจลึก ก่อนจะหยุดในที่สุด แสงสว่างจางหายไปจากฝ่ามือของเขาขณะที่เขาค่อย ๆ ลดแขนลง

ราชินีเกว็นทอดพระเนตรมองดูเขาอย่างตกตะลึง พระนางทรงไม่เคยเห็นอาร์กอนทำเช่นนี้มาก่อน และทรงไม่เคยรู้จักพลังของเขา มันเหมือนกับกำลังมองดูสวรรค์เปิดออกตรงหน้า

“หากเราได้เจอกันอีก แอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่” อาร์กอนบอกช้า ๆ มองดูแอนโดรนิคัสที่ทรงนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น “มันคือเวลาที่เจ้ากำลังเดินทาไปสู่อาณาจักรแห่งความตายอันมืดมนที่สุด”




аёљаё—аё—аёµа№€ аёЄаё­аё‡


�อร์พยายามดิ้นรน แต่ถูกทหารจักรวรรดิจับตัวไว้แน่น เขาดูอับจนหนทางขณะที่เดิร์ส ผู้ที่เขาเคยคิดว่าเป็นพี่ชายยกดาบเตรียมจะฆ่าเขา

�อร์หลับตาและเตรียมพร้อม เขารู้ว่าเวลาของเขามาถึงแล้ว เขาอยากจะเตะตัวเองที่ช่างโง่เง่าและไว้ใจคนง่าย พวกเขาจัดฉากหลอก�อร์มาตั้งแต่แรก ให้เป็นลูกแกะที่ถูกนำไปเชือด และที่ร้ายกว่านั้น คนอื่น ๆ ต่างรอฟังคำแนะนำจากเขาในฐานะผู้นำ เขาไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองผิดหวัง เขายังทำให้ทุกคนย่ำแย่ไปกับเขาด้วย ความซื่อของเขา และความไว้ใจคนง่ายทำให้ทุกคนอยู่ในอันตราย

ขณะที่�อร์กรินดิ้นรน เขาพยายามรวบรวมกำลัง พยายามเรียกหามันจากที่ไหนสักแห่งภายในตัวเอง แค่ให้มีพลังพอที่จะเป็นอิสระและตอบโต้กลับได้

แต่ถึงเขาพยายาม มันก็ไม่เกิดขึ้น กำลังของเขาเองมีไม่พอที่จะดิ้นหลุดจากทหารที่จับตัวเขากดไว้

�อร์รู้สึกถึงสายลมที่ลูบไล้ใบหน้าเมื่อเดิร์สเหวี่ยงดาบลงมา เขาเตรียมตัวรับคมดาบที่กำลังจะมาถึง เขายังไม่พร้อมที่จะตาย ใจเขาคิดถึงราชินีเกว็นโดลีนที่กำลังคอยเขาอยู่ที่อาณาจักรวงแหวน �อร์รู้สึกว่าเขาทำให้พระนางทรงผิดหวังด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้น�อร์ได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อ เขาลืมตาและต้องประหลาดใจที่เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แขนของเดิร์สแข็งค้างอยู่กลางอากาศ ข้อมือของเขาถูกทหารจักรวรรดิที่ตัวใหญ่กว่าจับไว้ เขารับมือไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อดูจากขนาดตัวของเขาแล้ว ทหารยึดข้อมือเดิร์สไว้ก่อนที่เขาจะฟันลงมาที่�อร์แค่ไม่กี่นิ้ว

เดิร์สหันไปมองทหารจักรวรรดิด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“หัวหน้าของเราไม่ต้องการให้พวกมันตาย” ทหารพึมพำบอกเดิร์สเสียงเข้ม “เขาต้องการพวกมันเป็น ๆ ในฐานะนักโทษ”

“ไม่มีใครบอกพวกเราเรื่องนั้น” เดิร์สประท้วง

“ตกลงกันไว้ว่าพวกเราจะได้ฆ่ามัน!” ดรอสส์เสริม

“ข้อตกลงเปลี่ยนแล้ว” ทหารตอบ

“ท่านทำอย่างนั้นไม่ได้” เดรคตะโกน

“อย่างนั้นหรือ?” ทหารหันมาถามเสียงเข้ม “เราทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ ที่จริงตอนนี้พวกเจ้าก็เป็นนักโทษเหมือนกัน” ทหารจักรวรรดิยิ้ม “ยิ่งมีทหารยุวชนให้เรียกค่าไถ่มากขึ้นก็ยิ่งดี”

เดิร์สมองดูทหารจักรวรรดิใบหน้าบูดบึ้ง ครู่ต่อมาเกิดเหตุชุลมุนขึ้นเมื่อทหารจักรวรรดิหลายสิบคนกระโจนใส่สามพี่น้อง กดพวกเขาไว้กับพื้นแล้วมัดข้อมือไว้

�อร์อาศัยจังหวะช่วงเหตุการณ์ชุลมุน หันไปมองหาโครห์น เขาเห็นมันอยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต ซ่อนอยู่ในเงามืด เฝ้าอยู่ข้างเขาอย่างจงรักภักดี

“โครห์น ช่วยข้า!” �อร์ตะโกน “เดี๋ยวนี้!”

โครห์นกระโจนเข้ามาพร้อมคำราม มันฝังเขี้ยวใส่ลำคอของทหารจักรวรรดิคนที่จับข้อมือ�อร์ไว้ �อร์ดิ้นหลุด โครห์นกระโจนจากคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่ง มันกัดและตะปบจน�อร์เป็นอิสระและหยิบดาบขึ้นมาได้ เขาหมุนตัวมาและสามารถตัดหัวทหารสามคนได้ในการฟันครั้งเดียว

�อร์พุ่งไปหาเจ้าชายรีซที่อยู่ใกล้เขาที่สุด แล้วแทงใส่ทหารคนที่จับตัวพระองค์ไว้ ช่วยให้พระองค์เป็นอิสระและทรงสามารถชักพระแสงดาบออกมาร่วมต่อสู้ ทั้งสองแยกกันไปช่วยเพื่อนทหารยุวชนคนอื่น ๆ โจมตีใส่ทหารที่จับตัวพวกเขาไว้ และช่วยให้เอลเด็น โอคอนเนอร์ คอนวอลและคอนเวนเป็นอิสระ

ทหารคนอื่น ๆ มัวยุ่งอยู่กับการจับตัวเดรค เดิร์สและดรอสส์ ตอนที่พวกมันหันมาและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็สายเกินไปแล้ว �อร์ เจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็น คอนวอลและคอนเวนเป็นอิสระ มีอาวุ�อยู่ในมือ แต่พวกเขามีจำนวนน้อยกว่ามาก �อร์รู้ว่าคงจะรับมือไม่ได้ง่ายนัก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสสู้ ทุกคนบุกเข้าใส่อย่างไม่ยั้งและไม่หวาดหวั่น

ทหารจักรวรรดินับร้อยโจมตีเข้าใส่ �อร์ได้ยินเสียงร้องแหลมสูงขึ้นไปเหนือหัว เขาเห็นเอสโตฟิลีส เหยี่ยวของเขาบินโฉบลงมาแล้วตะปบตาทหารคนที่เป็นหัวหน้า จนมันล้มลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้น เอสโตฟิลีสตะปบใส่ทหารอีกหลายคน จัดการมันลงไปกองทีละคน

ขณะที่พวกมันบุกเข้ามา �อร์หยิบลูกหินใส่หนังสติ๊กของเขาแล้วยิงโดนขมับทหารคนหนึ่ง คว่ำมันได้ก่อนที่จะมาถึงพวกเขา โอคอนเนอร์ยิง�นูออกไปสองลูก มันโดนจุดตายอย่างแม่นยำ ขณะที่เอลเด็นขว้างหอกโดนทหารสองคนล้มทั้งยืน มันเป็นการเปิดศึกที่ดี แต่ยังเหลือทหารอีกเป็นร้อยคนให้จัดการ

พวกเขาอยู่ตรงกลาง ส่งเสียงร้องข่มขวัญ �อร์มุ่งความสนใจไปที่ทหารคนหนึ่งเป็นพิเศษ ตามที่ถูกสอนมา เขาเลือกคนที่ตัวใหญ่ที่สุดและดุร้ายที่สุดที่หาได้ แล้วเงื้อดาบขึ้นสูง เกิดเสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นเมื่อมันยกโล่ขึ้นรับดาบของ�อร์ แล้วเหวี่ยงค้อนลงมาใส่หัว�อร์ทันที

�อร์ฉากหลบ ค้อนจึงกระแทกจมลงไปในดิน เขาดึงมีดสั้นออกมาจากเข็มขัดแล้วแทงใส่ศัตรู มันล้มลงไปนอนตาย

�อร์ยกโล่ขึ้นมารับดาบที่ทหารสองคนฟันลงมาทันเวลา ก่อนจะฟันตอบโต้ และจัดการสังหารพวกมันได้หนึ่งคน เขากำลังจะเหวี่ยงดาบใส่อีกคน ตอนที่เหลือบไปเห็นดาบกำลังเหวี่ยงมาหาจากด้านหลัง เขาต้องหมุนตัวมาใช้โล่รับไว้

ตอนนี้�อร์ถูกโจมตีจากรอบด้าน แพ้จำนวนอย่างมากและเขาทำได้แค่คอยรับดาบที่กระหน่ำฟันใส่ เขาไม่มีเวลาและกำลังที่จะโต้กลับ ทำได้แค่คอยป้องกัน ทหารจักรวรรดิกรูเข้ามาหามากขึ้นเรื่อย ๆ

�อร์มองดูรอบ ๆ เขาเห็นเพื่อน ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่พอกัน แต่ละคนสามารถจัดการทหารจักรวรรดิไปได้หนึ่งหรือสองคน แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่าอย่างมาก ทุกคนต่างมีบาดแผลคนละเล็กละน้อยจากการถูกโจมตีจากรอบด้าน �อร์บอกได้ว่าพวกเขากำลังจะเพลี่ยงพล้ำ แม้จะมีโครห์นกระโดดเข้ามาร่วมวง และมีอินดราช่วยปาหินใส่กลุ่มทหาร ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะถูกล้อมและถูกจัดการในที่สุด

“ปล่อยพวกเราสิ!” มีเสียงบอกขึ้น

�อร์หันไปเห็นเดรค ถูกมัดรวมอยู่กับพี่น้อง ห่างไปไม่กี่ฟุต

“ปล่อยพวกเรา!” เดรคบอกซ้ำ “เราจะช่วยพวกเจ้าสู้เอง! เรามีเป้าหมายเดียวกัน!”

ขณะที่�อร์ยกโล่ขึ้นรับขวานศึกที่ฟาดใส่อย่างแรง เขาคิดว่าการได้คนมาช่วยเพิ่มอีกสามคนก็น่าจะดีมาก เห็นได้ชัดว่าถ้าไม่มีพวกนั้น ทุกคนก็ไม่มีโอกาสจะต่อกรกับทหารพวกนี้ �อร์รู้สึกว่าเขาไม่สามารถไว้ใจสามพี่น้องนี้ได้อีกแล้ว แต่ในขณะนี้เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียหากจะลองดู ถึงอย่างไรสามพี่น้องนี้ก็มีแรงกระตุ้นที่จะต่อสู้เหมือนกัน

�อร์รับดาบที่ฟันเข้าใส่อีกครั้ง ก่อนจะทรุดลงคุกเข่าแล้วกลิ้งตัวไปหลายฟุต จนกระทั่งไปถึงตัวสามคนพี่น้อง เขากระโดดลุกขึ้นแล้วตัดเชือกให้ทีละคน ช่วยป้องกันพวกเขาจากการฟาดฟัน ขณะที่แต่ละคนชักดาบออกมาแล้วเข้าร่วมวง

เดรค ดรอสส์ และเดิร์สพุ่งเข้าใส่กลุ่มทหารจักรวรรดิ โจมตี ฟาดฟัน กระแทกและแทงใส่ พวกเขาแต่ละคนตัวใหญ่และมีฝีมือ อาศัยจังหวะที่ทหารจักรวรรดิไม่ทันระวังตัวสามารถสังหารพวกมันไปได้หลายคน และช่วยพลิกสถานการณ์ �อร์รู้สึกไม่แน่ใจที่ปล่อยพวกนั้นเป็นอิสระ แต่หลังจากสิ่งที่พวกเขาได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด ดีกว่าถูกฆ่าตาย

ตอนนี้พวกเขามีกันเก้าคน รับมือกับทหารจักรวรรดิที่เหลือราวแปดสิบคนหรือกว่านั้น สถานการณ์ยังคงย่ำแย่ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ดีกว่าที่เคยเป็น

ทหารยุวชนทุกคนใช้ทักษะที่ฝึกฝนมาของพวกเขา จากการฝึกที่ติดตัวพวกเขามาระหว่างการฝึกร้อยวัน พวกเขาถูกฝึกนับครั้งไม่ถ้วนให้ต่อสู้เมื่อตกอยู่ในวงล้อมและมีจำนวนน้อยกว่า ทุกเขาทำตามที่คอล์คและบรอมฝึกพวกเขามา ทุกคนถอยหลังชนกันเป็นวงกลม และต่อสู้กับทหารจักรวรรดิกลุ้มรุมเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขามีกำลังใจมากขึ้นจากการที่มีคนมาช่วยอีกสามคน มีพลังฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง และตอบโต้อย่างแข็งขันกว่าก่อนหน้านี้

คอนวอลหยิบกระบองตุ้มเหล็กออกมาแล้วเหวี่ยงใส่ศัตรูครั้งแล้วครั้งเล่า สามารถจัดการทหารจักรวรรดิไปได้สามคน ก่อนที่จะถูกกระชากสายโซ่ไป คอนเวนคู่แฝดของเขาใช้กระบองตุ้มเหล็ก�รรมดา เล็งต่ำและฟาดขาของพวกทหารจักรวรรดิ โอคอนเนอร์ไม่สามารถใช้�นูของเขาได้ในระยะประชิด แต่เขาก็สามารถหยิบมีดสั้นจากเอวแล้วขว้างใส่พวกทหาร จัดการสังหารพวกมันได้สองคน เอลเด็นใช้ค้อนศึกสองมือของเขาฟาดฟันอย่างรุนแรง เหวี่ยงใส่ดาบที่ฟันมารอบ ๆ ตัว �อร์และเจ้าชายรีซใช้ดาบปัดป้องและฟาดฟันอย่างช่ำชอง ในขณะนั้น�อร์รู้สึกว่ามีความหวัง

แต่แล้ว�อร์ก็เห็นจากหางตาว่ามีบางอย่างที่รบกวนเขา เขาเห็นหนึ่งในสามพี่น้องวิ่งตัดวงของเพื่อนทหารยุวชนมา �อร์หันไปเห็นเดิร์ส เขากำลังวิ่งมา ไม่ได้วิ่งไปหาทหารจักรวรรดิ แต่กำลังวิ่งมาหาเขา มาหา�อร์ ตรงเข้ามาที่ด้านหลัง�อร์

มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว �อร์กำลังสู้กับทหารจักรวรรดิสองคนตรงหน้าเขา ไม่สามารถหันไปรับมือได้ทันเวลา

�อร์รู้ว่าเขากำลังจะตาย กำลังจะถูกแทงจากด้านหลังโดยคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าเป็นพี่ชาย คนที่เขาเคยซื่อยอมเชื่อใจถึงสองครั้ง

ทันใดนั้นคอนวอลก็ก้าวเข้ามาขวางไว้ เพื่อปกป้อง�อร์

และเมื่อเดิร์สเหวี่ยงดาบลงมาใส่หลัง�อร์ ก็กลายเป็นฟันเข้าที่อกของคอนวอลแทน

�อร์หันไปร้องตะโกน “คอนวอล!”

คอนวอลยืนแข็งค้าง ตาเบิกโพลงเหมือนเห็นความตาย ขณะที่ก้มมองดูดาบแทงทะลุหัวใจของเขา โลหิตไหลทะลักไปตามลำตัว

เดิร์สยืนมองตอบมา อย่างประหลาดใจไม่แพ้กัน

คอนวอลทรุดลงคุกเข่า โลหิตไหลจากออก �อร์มองเห็นเป็นภาพช้า เมื่อคอนวอล เพื่อนสนิท คนที่เขารักเหมือนพี่น้อง ล้มหน้าคว่ำลงบนพื้น สิ้นใจตาย เพราะช่วยชีวิต�อร์

เดิร์สยืนอยู่เหนือเขา ก้มลงมองดูด้วยความตกใจในสิ่งที่ทำลงไป

�อร์ยื่นดาบออกไปเพื่อจะสังหารเดิร์ส แต่คอนเวนเร็วกว่าเขา คู่แฝดของคอนวอลพุ่งออกไป เหวี่ยงดาบเป็นวงกว้าง ตัดหัวเดิร์สหลุดจากบ่า และร่างของเขาทรุดฮวบลงกับพื้น

�อร์ยืนมองด้วยใจวาบโหวง ความรู้สึกผิดบีบรัดเขา เขาตัดสินใจผิดพลาดมากเกินไป หากเขาไม่ปล่อยเดิร์สเป็นอิสระ ป่านนี้คอนวอลก็คงยังมีชีวิตอยู่

พวกเขาเปิดด้านหลังเป็นเป้าให้แก่พวกจักรวรรดิ พวกมันจึงสบโอกาส กรูกันเข้ามาทางช่องที่เปิดอยู่ �อร์โดนค้อนศึกฟาดเข้าที่สะบัก แรงจนทำให้เขาหน้าทิ่มลงไปกับพื้น

ก่อนที่�อร์จะทันลุกขึ้น ทหารหลายคนก็กระโจนเข้าใส่ เหยียบหลังเขาไว้ จากนั้นคนหนึ่งกระชากผมเขาไว้ แล้วก้มลงมาหาพร้อมมีดสั้น

“บอกลาได้แล้ว เจ้าหนู” ทหารคนนั้นบอก

�อร์หลับตาลง ขณะนั้นเองเขารู้สึกว่าตัวเขาถูกส่งไปยังอีกโลกหนึ่ง

ได้โปรดเถิด พระผู้เป็นเจ้า �อร์บอกตัวเอง ขอให้ข้ามีชีวิตอยู่ในวันนี้ ขอให้ข้ามีพลังพอที่จะจัดการทหารพวกนี้ ข้าขอตายวันอื่น ที่อื่นอย่างมีเกียรติด้วยเถิด ขอให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อเพื่อแก้แค้น และได้เห็นเกว็นโดลีนเป็นครั้งสุดท้ายเสียก่อน

ขณะที่�อร์นอนมองมีดสั้นเคลื่อนลงไปหา เขารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลงจนเกือบหยุด จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงพลังความร้อนแล่นขึ้นมาตามขา สู่ลำตัวและแขน ไปจนถึงฝ่ามือ สู่ปลายนิ้ว อาการแปลบปลาบรุนแรงจนเขาไม่สามารถหุบนิ้วได้ พลังความร้อนพลุ่งพล่านพร้อมที่จะปะทุผ่านเขาออกไป

�อร์หมุนตัว รู้สึกมีกำลังขึ้นอีกครั้ง เขายื่นฝ่ามือใส่ทหารที่เข้ามาโจมตี ลูกไฟสีขาวพุ่งออกจากฝ่ามือของเขากระแทกใส่ทหารจักรวรรดิจนกระเด็นลอยไปกระแทกทหารอีกหลายคนล้มคว่ำไปด้วย

�อร์ยืนขึ้น รู้สึกถึงพลังงานที่ท่วมท้น เขายื่นฝ่ามือไปทั่วสนามรบ ลูกไฟสีขาวลอยไปทั่ว เกิดคลื่นพลังทำลายล้างที่รุนแรงและรวดเร็ว ภายในไม่กี่นาที ทหารจักรวรรดิทั้งหมดก็นอนตายกองกันเป็นพะเนิน

เมื่อเหตุการณ์สงบลง �อร์หันมองสำรวจดูเพื่อน ๆ เขา เจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็นและคอนเวนยังมีชีวิตอยู่ โครห์นกับอินดรายืนอยู่ไม่ห่าง ยังไม่ตายเช่นกัน เจ้าโครห์นหอบแรง ทหารจักรวรรดิตายหมด และคอนวอลที่นอนสิ้นใจอยู่บนพื้น

ดรอสส์ก็ตายด้วย เขาถูกทหารจักรวรรดิคนหนึ่งใช้ดาบแทงเข้าที่หัวใจ

คนเดียวที่ยังเหลือรอดคือเดรค เขานอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น ที่ท้องมีแผลถูกแทงด้วยมีดสั้นของพวกจักรวรรดิ �อร์เดินเข้าไปหา ขณะที่เจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์และเอลเด็นฉุดกระชากเดรคที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดให้ลุกขึ้นยืน

เดรคที่มีสีหน้าเจ็บปวด ดูสะลึมสะลือ ยิ้มเยาะมาให้อย่างอวดดี

“เจ้าน่าจะฆ่าพวกเราเสียตั้งแต่แรก” เดรคบอก โลหิตหยดจากปากเขา ก่อนจะไออยู่นาน “เจ้ามันซื่อเกินไป โง่เกินไปอยู่เสมอ”

�อร์รู้สึกหน้าร้อน ยิ่งโกร�ตัวเองที่หลงเชื่อพวกเขา และที่เขาโกร�ที่สุดคือความซื่อของเขาทำให้คอนวอลต้องตาย

“ข้าจะถามเจ้าแค่ครั้งเดียว” �อร์คำราม “บอกข้ามาตามความจริง แล้วเราจะไว้ชีวิตเจ้า หากโกหก เจ้าจะได้ตายตามน้องชายของเจ้าไป เจ้าเลือกเอา”

เดรคไออีกหลายครั้ง

“ดาบอยู่ที่ไหน?” �อร์ถาม “บอกความจริงมา”

เดรคไอสำลักอีกหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น มองสบตา�อร์ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“ไม่มีวันจม” เดรคตอบออกมาในที่สุด

аё?аё­аёЈа№Њаё«аё±аё™аёЎаёІаёЎаё­аё‡аё”аё№аё„аё™аё­аё·а№€аё™ аё—аёµа№€аёЎаё­аё‡а№Ђаё‚аёІаё­аёўа№€аёІаё‡аё‡аёёаё™аё‡аё‡а№ЂаёЉа№€аё™аёЃаё±аё™

“ไม่มีวันจมหรือ?” �อร์ถาม

“มันคือทะเลสาบไร้ก้น” อินดราเอ่ยแทรกขึ้น พลางก้าวมาด้านหน้า “อยู่ที่อีกฟากของมหาทะเลทราย เป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุด”

�อร์นิ่วหน้าใส่เดรค

“ทำไม?” เขาถาม

เดรคไออีก เริ่มอ่อนแรงลง

“เป็นรับสั่งของราชากาเร็�” เดรคบอก “พระองค์ต้องการให้ทิ้งมันในที่ที่มันจะไม่กลับมาอีก”

“แต่เพราะอะไรกันเล่า?” �อร์รุกถามด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงต้องทำลายดาบ?”

เดรคเงยหน้าขึ้นสบตาเขา

“หากพระองค์ทรงไม่สามารถยกมันได้” เดรคบอก “ก็จงอย่ามีใครทำได้”

�อร์มองดูเขานิ่งนาน ในที่สุดเขาก็พอใจว่าเดรคพูดความจริง

“ถ้าอย่างนั้นเวลาของเราก็เหลือน้อย” �อร์บอก เตรียมพร้อมที่จะไปต่อ

เดรคส่ายหน้า

“เจ้าไม่มีทางไปที่นั่นได้ทันเวลา” เดรคบอก “พวกนั้นนำหน้าเจ้าอยู่หลายวัน ป่านนี้ดาบคงหายไปตลอดกาลแล้ว ยอมแพ้และกลับไปที่อาณาจักรวงแหวนเถอะ รักษาชีวิตของพวกเจ้าไว้”

�อร์ส่ายหน้า

“พวกเราไม่คิดเช่นนั้น” เขาตอบ “เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อรักษาชีวิต เรามีชีวิตอยู่เพื่อความกล้าหาญ เพื่อคำปฏิญาณของพวกเรา และเราจะไปทุกที่ที่มันจะนำเราไป”

“เจ้าเห็นไหมล่ะว่าตอนนี้ความกล้าของพวกเจ้านำเจ้ามาที่ไหน” เดรคบอก “แม้เจ้าจะมีความกล้า แต่ก็โง่เง่า เหมือนกับคนอื่น ๆ ความกล้าหาญนั้นไร้ค่า”

�อร์ยิ้มเยาะตอบ เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าถูกเลี้ยงดูและใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่กับสิ่งมีชีวิตตนนี้

�อร์กำด้ามดาบแน่นจนข้อนิ้วขาว ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสังหารเด็กหนุ่มคนนี้ สายตาของเดรคมองตามมือเขา

“เอาเลย” เดรคบอก “ฆ่าข้าเลย จัดการเสียเดี๋ยวนี้ให้สิ้นเรื่องไป”

�อร์จ้องมองเขาเนิ่นนาน ปรารถนาที่จะทำตาม แต่เขาได้ให้สัญญากับเดรคว่าหากบอกความจริงแล้วจะไว้ชีวิต และ�อร์รักษาคำพูดเสมอ

“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” �อร์เอ่ยขึ้นในที่สุด “แม้เจ้าจะสมควรตายมากเพียงใดก็ตาม เจ้าจะไม่ได้ตายด้วยน้ำมือข้า มิเช่นนั้นข้าก็คงจะต่ำช้าไม่ต่างจากเจ้า”

ขณะที่�อร์หันหลังจากไป คอนเวนก็พุ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงร้อง

“เพื่อพี่ชายข้า!”

คอนเวนชักดาบออกมาแล้วแทงเข้าที่หัวใจของเดรค ก่อนที่ใครจะทันทำอะไร สายตาของคอนเวนลุกโชนด้วยความโกร�แค้น และเศร้าโศก ขณะที่เขานำเดรคไปสู่ความตายและมองดูร่างของเดรคอ่อนเปียกลงกับพื้นและสิ้นใจตาย

�อร์มองดูและรู้ว่าความตายนั้นชดเชยความสูญเสียของคอนเวนได้เพียงน้อยนิด แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็มีความหมายสำหรับความสูญเสียของทุกคน

�อร์มองออกไปยังทะเลทรายเวิ้งว้างตรงหน้า และรู้ว่าดาบแห่งโชคชะตาอยู่ไกลจากเขตแดนของทะเลทรายแห่งนี้ มันดูเหมือนอยู่อีกฟากโลก เขาคิดว่าการเดินทางสิ้นสุดแล้ว แต่เขาได้รู้แล้วว่ามันยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ




аёљаё—аё—аёµа№€ аёЄаёІаёЎ


อีเร็คนั่งอยู่ท่ามกลางอัศวินในหอแห่งอาวุ�ของท่านดยุคด้านในปราสาท ปลอดภัยอยู่ภายในกำแพงเมืองซาวาเรีย ทุกคนต่างมีบาดแผลและบอบช้ำจากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้น แบรนด์ทเพื่อนของเขานั่งอยู่ด้านข้าง ยกมือกุมศีรษะเหมือนกับอีกหลายคน อารมณ์ภายในหอแห่งอาวุ�เต็มไปด้วยความหม่นหมอง

อีเร็คเองก็รู้สึกเช่นนั้น กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายปวดร้าวจากการต่อสู้กับคนของลอร์ดคนนั้น และจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นอีก เป็นช่วงเวลาที่สาหัสที่สุดช่วงหนึ่งที่เขาจำได้ ท่านดยุคสูญเสียทหารไปมากพอดู เมื่ออีเร็คใคร่ครวญดูเขาก็รู้ว่าหากไม่ใช่เพราะอลิสแตร์ เขา แบรนด์ทและคนอื่น ๆ ก็คงจะตายไปแล้ว

อีเร็ครู้สึกขอบใจนางอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งรักนางมากขึ้นอีก นางยังทำให้เขาลุ่มหลงมากขึ้นกว่าเดิม เขารู้มาตลอดว่านางเป็นคนพิเศษและมีอำนาจด้วยซ้ำ เหตุการณ์ในวันนี้ได้พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้ว อีเร็ครุ่มร้อนด้วยความปรารถนาใคร่รู้มากขึ้นว่านางเป็นใคร มีความลับใดเกี่ยวกับเชื้อสายของนาง แต่เขาได้สัญญาแล้วว่าจะไม่ถาม ซึ่งเขาก็รักษาสัญญาเสมอ

อีเร็คแทบจะทนรอให้การประชุมนี้เสร็จสิ้นไม่ไหว เขาอยากจะพบนางอีกครั้ง

อัศวินของท่านดยุคนั่งอยู่ที่นี่มาหลายชั่วโมงแล้ว พักเอาแรงและพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างถกเถียงกันว่าควรทำอย่างไรต่อไป โล่พลังสลายไปแล้ว อีเร็คยังคงพยายามคิดถึงผลที่จะตามมา มันหมายความว่าตอนนี้ซาวาเรียตกเป็นเป้าโจมตี และยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเมื่อพลนำสารต่างนำข่าวการบุกโจมตีของแอนโดรนิคัสมาไม่ขาดสาย ทั้งข่าวสิ่งที่เกิดขึ้นที่ราชสำนัก และที่ซิเลเซีย อีเร็ครู้สึกหดหู่ เขาอยากจะอยู่กับพี่น้องกองรบเงิน เพื่อร่วมกันปกป้องบ้านเมือง แต่เขาอยู่ที่ซาวาเรีย ที่ซึ่งโชคชะตาพาเขามา และที่นี่ก็ต้องการเขาด้วย เมืองของท่านดยุคและประชาชนที่นี่เป็นจุดยุท�ศาสตร์ในอาณาจักรแม็คกิล และต้องการการป้องกันเช่นกัน

แต่มีรายงานใหม่หลั่งไหลมาว่าแอนโดรนิคัสส่งกองทหารกองหนึ่งมาที่นี่ เพื่อโจมตีซาวาเรีย อีเร็ครู้ว่าในไม่ช้ากองทัพนับล้านของแอนโดรนิคัสจะแผ่ขยายไปทั่วทุกมุมของอาณาจักรวงแหวน และเมื่อเสร็จเรื่องแล้ว แอนโดรนิคัสจะไม่เหลือสิ่งใดไว้ อีเร็คเคยได้ยินเรื่องราวการพิชิตของแอนโดรนิคัสมาตลอดชีวิต เขารู้ว่าบุรุษผู้นี้โหดเหี้ยมอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน หากว่ากันด้วยจำนวนแล้ว ทหารเพียงไม่กี่ร้อยคนของท่านดยุคคงจะไม่มีทางยืนหยัดต้านทานกองทัพของแอนโดรนิคัสได้ ซาวาเรียเป็นเมืองที่ถึงฆาตแล้ว

“ข้าว่าเราควรจะยอมแพ้” ที่ปรึกษาคนหนึ่งของท่านดยุคบอก นักรบชราผู้นั่งฟุบอยู่ที่โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวยาว

“เรามีทางเลือกอะไรเล่า?” เขากล่าวต่อ “พวกเราแค่ไม่กี่ร้อยคนต้องรับมือกับพวกมันนับล้าน”

“แต่เราอาจจะป้องกันได้ อย่างน้อยที่สุดก็รักษาเมืองไว้” อัศวินอีกคนหนึ่งพูดขึ้น

“แต่จะนานแค่ไหนเล่า?” อีกคนถามขึ้น

“นานพอที่ราชาแม็คกิลจะส่งกำลังมาช่วย หากเราต้านไว้ได้นานพอ”

“แม็คกิลสิ้นพระชนม์แล้ว” อัศวินอีกคนตอบ “ไม่มีใครมาช่วยเราหรอก”

“แต่�ิดาของพระองค์ยังอยู่” อีกคนโต้ขึ้น “ทหารของพระองค์ด้วย พวกเขาจะไม่ทิ้งพวกเราไว้ที่นี่!”

“พวกเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว!” ทหารอีกคนประท้วง

ทุกคนต่างพึมพำกันด้วยความกระวนกระวายใจ ทุ่มเถียงกัน ตะโกนคุยกันไปมารอบวง

อีเร็คนั่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยความรู้สึกหม่นหมอง พลนำสารมาถึงเมื่อหลายชั่วโมงก่อน และนำข่าวร้ายเกี่ยวกับการบุกของแอนโดรนิคัสมา สำหรับอีเร็คแล้ว เขาเพิ่งได้รู้ข่าวร้ายยิ่งกว่านั้น ราชาแม็คกิลถูกลอบปลงพระชนม์ อีเร็คไปไกลจากราชสำนักนานมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข่าวนี้ เมื่อได้รู้ข่าว เขารู้สึกเหมือนถูกมีดแทงเข้าที่หัวใจ เขารักราชาแม็คกิลดดุจบิดา และความรู้สึกสูญเสียนี้ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าจนเกินจะบรรยาย

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เมื่อท่านดยุคกระแอม และสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เขา

“เราสามารถปกป้องเมืองของเราจากการโจมตี” ท่านดยุคบอกช้า ๆ “ด้วยฝีมือของพวกเราและกำแพงเมืองอันแข็งแกร่ง พวกเราสามารถต้านกองทัพที่ใหญ่กว่าเราห้าเท่าได้ อาจจะถึงสิบเท่าด้วยซ้ำ และเรามีเสบียงพอที่จะอยู่ได้หลายอาทิตย์ หากรับมือกับกองทัพทั่วไป พวกเราก็อาจจะชนะได้”

а№Ђаё‚аёІаё–аё­аё™аё«аёІаёўа№ѓаё€

“แต่พวกจักรวรรดิไม่ใช่กองทัพทั่วไป” เขากล่าวต่อ “พวกเราไม่สามารถรับมือกองทหารนับล้านได้ มันเปล่าประโยชน์”

а№Ђаё‚аёІаё«аёўаёёаё”

“แต่การยอมแพ้ก็เช่นกัน พวกเราต่างรู้ดีว่าแอนโดรนิคัสทำเช่นไรกับคนที่มันจับได้ สำหรับข้าแล้วอย่างไรพวกเราก็ต้องตายอยู่ดี คำถามคือเราจะยืนตายบนสองเท้านี้หรือนอนตาย สำหรับข้า ขอยืนหยัดสู้จนตัวตาย!”

เกิดเสียงโห่ร้องอย่างเห็นด้วยขึ้นทั่วห้อง อีเร็คเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

“เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” ท่านดยุคกล่าวต่อ “พวกเราจะปกป้องซาวาเรีย จะไม่ยอมแพ้ พวกเราอาจจะต้องตาย แต่เราจะตายด้วยกัน”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อต่างหันไปพยักหน้าให้แก่กันอย่างเคร่งเครียด ดูเหมือนทุกคนกำลังพยายามหาคำตอบอื่น

“มีอีกทางหนึ่ง” อีเร็คบอกเสียงดังในที่สุด

เขารู้สึกว่าทุกคนจับจ้องมองมาที่เขา

ท่านดยุคพยักหน้า ให้เขาพูดต่อ

“เราสามารถโจมตีได้” อีเร็คกล่าว

“โจมตีหรือ?” ทหารหลายคนตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ “พวกเรามีกันแค่ไม่กี่ร้อยคน จะโจมตีทหารนับล้านคนได้อย่างไร? อีเร็ค ข้ารู้ว่าท่านกล้าหาญ แต่นี่ท่านเป็นบ้าหรืออย่างไร?”

อีเร็คส่ายศีรษะอย่างจริงจังที่สุด

“สิ่งที่ท่านไม่ได้พิจารณาคือทหารของแอนโดรนิคัสไม่คาดคิดว่าจะถูกโจมตี พวกเราได้เปรียบในเรื่องของการไม่ทันตั้งตัว เช่นที่ท่านกล่าว การนั่งอยู่ที่นี่ คอยตั้งรับ พวกเราก็ต้องตายแน่ แต่หากเราโจมตี เราจะสามารถจัดการพวกมันได้เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญที่สุด หากเราโจมตีอย่างถูกวิ�ี และถูกที่ เราอาจจะทำได้มากกว่าการต้านพวกมันไว้ เราอาจจะชนะก็ได้”

“ชนะหรือ?!” ทุกคนร้องออกมา พลางมองอีเร็คด้วยความงุนงงอย่างเต็มที่

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ท่านดยุคถาม

“แอนโดรนิคัสคงจะคิดว่าพวกเรารออยู่ที่นี่ เตรียมป้องกันเมืองของเรา” อีเร็คอ�ิบาย “ทหารของมันคงไม่คาดคิดว่าพวกเราจะตั้งมั่นอยู่ที่ช่องแคบตรงไหนสักแห่งนอกประตูเมือง ภายในเมืองนี้ พวกเราได้เปรียบจากความแข็งแกร่งของกำแพงเมือง แต่ข้างนอกนั่น พวกเราได้เปรียบจากการที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว และความประหลาดใจนั้นดีกว่าพละกำลังอย่างมาก หากเรายึดทำเลช่องแคบตาม�รรมชาติแห่งหนึ่ง เราจะสามารถบีบพวกมันเข้ามาที่จุดเดียว และสามารถโจมตีได้จากตรงนั้น ข้าหมายถึงหุบเขาตะวันออก”

“หุบเขาตะวันออกหรือ?” ทหารคนหนึ่งถามขึ้น

อีเร็คพยักหน้า

“มันเป็นช่องแคบลึกที่อยู่ระหว่างหน้าผาสองด้าน เป็นทางเดียวที่จะผ่านภูเขาโควาเนีย ห่างจากที่นี่ระยะขี่ม้าหนึ่งวัน หากทหารของแอนโดรนิคัสมาหาพวกเรา เส้นทางตัดตรงที่สุดก็จะต้องผ่านหุบเขาตะวันออกนี้ ไม่เช่นนั้นพวกมันจะต้องปีนข้ามภูเขามา ถนนจากภาคเหนือแคบและเละเทะเกินไปในช่วงเวลานี้ของปี พวกมันจะต้องเสียเวลาหลายอาทิตย์ และจากภาคใต้พวกมันจะต้องฝ่าผ่านแม่น้ำฟยอร์ดมา

ท่านดยุคมองอีเร็คอย่างชื่นชม และลูบเคราพลางครุ่นคิด

"เจ้าอาจจะพูดถูก แอนโดรนิคัสอาจจะนำทหารผ่านมาทางหุบเขาตะวันออก สำหรับกองทัพอื่น มันอาจจะเป็นการกระทำที่อหังการมาก แต่สำหรับแอนโดรนิคัสกับกองทหารนับล้านคน เขาอาจจะแค่ทำมันง่าย ๆ"

อีเร็คพยักหน้า

"หากเราสามารถไปถึงที่นั่นได้ ถ้าเราสามารถไปถึงได้ก่อน เราจะทำให้พวกมันประหลาดใจ แล้วซุ่มโจมตี พวกมัน ภูมิประเทศตรงนั้น คนน้อยจะสามารถต้านคนหลายพันได้"

ทุกคนมองดูอีเร็คด้วยสีหน้าเหมือนมีความหวังและรู้สึกเกรงขาม ขณะที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสนิท

“เป็นแผนที่ดี เพื่อนข้า” ท่านดยุคบอก “แต่ก็นั้นล่ะ ท่านเป็นนักรบที่กล้าหาญ เหมือนเช่นที่เป็นมาเสมอ” ท่านดยุคโบกมือเรียกมหาดเล็ก “เอาแผนที่มาให้ข้า!”

เด็กชายวิ่งออกไปจากห้องแล้วกลับมาทางอีกประตูหนึ่งพร้อมกับถือม้วนหนังผืนใหญ่ เขาคลี่มันออกบนโต๊ะ ทหารต่างเข้ามารุมล้อม ศึกษาดูแผนที่

อีเร็คยื่นมือไปชี้ที่ซาวาเรียบนแผนที่ และใช้นิ้วลากเป็นทางไปทางทิศตะวันออก หยุดลงที่หุบเขาตะวันออก ช่องเขาแคบที่อยู่ระหว่างภูเขาที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

“เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม” ทหารคนหนึ่งบอก

คนอื่น ๆ พยักหน้ารับ พลางลูบเครา

“ข้าเคยได้ยินเรื่องคนไม่กี่สิบคนรับมือกับทหารหลายพันที่หุบเขานั่น” ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“มันเป็นตำนานพื้นบ้าน” ทหารอีกคนเอ่ยถากกาง “ถูกล่ะ เราจะได้เปรียบเรื่องการไม่ทันตั้งตัว แต่อย่างไรอีกเล่า? เราจะไม่มีกำแพงเมืองคอยปกป้องอยู่นะ”

“แต่เรามีกำแพงตาม�รรมชาติคอยปกป้อง” ทหารอีกคนกล่าวโต้ “ภูเขาพวกนั้นไง หน้าผาหินสูงหลายร้อยฟุตพวกนั้นน่ะ”

“ไม่มีสิ่งใดปลอดภัยหรอก” อีเร็คกล่าวเสริม “ตามที่ท่านดยุคบอก พวกเราจะตายที่นี่ หรือจะตายข้างนอกนั่น ข้าว่าพวกเราควรจะไปตายข้างนอกนั่น ชัยชนะเชิดชูคนกล้า”

ในที่สุดท่านดยุคก็พยักหน้า หลังจากที่ลูบเคราอยู่นาน ก่อนจะม้วนแผนที่เก็บ

“เตรียมอาวุ�ของพวกเจ้า!” เขาตะโกนบอก “เราจะออกเดินทางคืนนี้!”


*

อีเร็คแต่งชุดเกราะเต็มยศอีกครั้ง ดาบของเขาแกว่งอยู่ข้าวเอว ขณะที่เดินไปตามทางเดินในปราสาทของท่านดยุค มุ่งหน้าไปในทิศตรงข้ามกับคนอื่น ๆ เขามีงานสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำก่อนจะจากไปเพื่อทำศึกที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา

เขาต้องไปพบอลิสแตร์

นับตั้งแต่พวกเขากลับมาจากการรบ อลิสแตร์คอยอยู่ในปราสาท อยู่ในห้องที่สุดโถงทางเดินของนาง คอยให้อีเร็คมาหา นางรอคอยการได้พบกันอย่างมีความสุข อีเร็ครู้สึกใจหายเมื่อรู้ว่าเขาจะต้องบอกข่าวร้ายแก่นาง ว่าเขาจะต้องจากไปอีกครั้ง แต่เขาก็รู้สึกสุขสงบเมื่อรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดนางจะปลอดภัยอยู่ที่นี่ ภายในกำแพงปราสาทเหล่านี้ เขารู้สึกมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะให้นางปลอดภัย พ้นจากพวกจักรวรรดิ ใจเขาปวดร้าวเมื่อคิดว่าจะต้องจากนางไป เขาไมอยากได้สิ่งใดนอกจากการได้อยู่กับนางนับตั้งแต่ปฏิญาณที่จะแต่งงานกัน แต่มันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ขณะที่อีเร็คเลี้ยวที่หัวมุม เดือยรองเท้าของเขาส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง รองเท้าบู้ทของเขาส่งเสียงสะท้อนไปทั่วโถงทางเดินที่ว่างเปล่าในปราสาท เขาเตรียมพร้อมที่จะกล่าวคำอำลา ซึ่งเขารู้ว่าคงจะเจ็บปวด ในที่สุดเขาก็ไปถึงประตูไม้โอ้คบานโค้งเก่าแก่ แล้วใช้ปลอกแขนเคาะเบา ๆ

มีเสียงฝีเท้าเดินข้ามห้องมา ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก อีเร็คใจพองฟูเช่นทุกครั้งที่ได้เห็นอลิสแตร์ นางยืนอยู่ที่ช่องประตู ผมสีทองยาวสยายและดวงตาคู่โตแจ่มใสกำลังจ้องมองมาที่เขาราวกับเป็นภาพฝัน นางดูงดงามมากขึ้นทุกครั้งที่เขาได้เห็นนาง

อีเร็คก้าวไปด้านในและสวมกอดนางไว้ อลิสแตร์กอดตอบ นางกอดเขาแน่นนิ่งนาน ไม่อยากจะผละออก เขาเองก็เช่นกัน เขาอยากจะปิดประตูแล้วอยู่ที่นี่กับนางให้นานเท่าที่จะทำได้ยิ่งกว่าสิ่งใด แต่มันก็ไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้

ความอบอุ่นและความรู้สึกจากตัวนางทำให้ทุกอย่างในโลกดูถูกที่ถูกทาง จนเขาไม่อยากจะผละออก ในที่สุดอีเร็คก็ผละออกแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาแวววาวของนาง นางมองดูชุดเกราะ และอาวุ�ของเขา แล้วหน้าหมองลงเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะจากไป

“ท่านจะจากไปอีกแล้วหรือ ใต้เท้า?” นางถาม

อีเร็คผงกศีรษะ

“มันใช่ด้วยความปรารถนาของข้า แม่หญิง” เขาตอบ “กองทัพจักรวรรดิกำลังใกล้เข้ามา หากข้าอยู่ที่นี่ เราจะต้องตายกันหมด”

“แล้วถ้าท่านจากไปเล่า?” นางถาม

“ข้าก็คงจะตายอยู่ดี” เขายอมรับ “แต่อย่างน้อยมันก็จะทำให้พวกเราทุกคนมีโอกาส แม้จะเพียงน้อยนิด แต่ก็ยังมีโอกาส”

อลิสแตร์หันหลังแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังสนามของท่านดยุคท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่กำลังตก ใบหน้าของนางอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์อ่อน ๆ อีเร็คมองเห็นความเศร้าฉายชัดอยู่บนใบหน้าเมื่อเดินเข้าไปหาแล้วปัดพวงผมที่ระต้นคอนางอย่างทะนุถนอม

“อย่าเศร้าไปเลย แม่หญิงของข้า” เขาบอก “หากข้ารอดชีวิตมาได้ ข้าจะกลับมาหาเจ้า แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งตลอดไป และปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง และในที่สุดเราก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน”

นางส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย

“ข้ากลัว” นางบอก

“กลัวกองทัพที่กำลังมาอย่างนั้นหรือ?” เขาถาม

“มิได้” นางตอบพลางหันมาหาเขา “กลัวท่าน

อีเร็คมองนางอย่างงุนงง

“ข้ากลัวว่าท่านจะมองข้าไม่เหมือนเดิม” นางตอบ “ตั้งแต่ที่ท่านได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบนั่น”

อีเร็คส่ายศีรษะ

“ข้าไม่ได้คิดกับเจ้าเป็นอย่างอื่นเลย” เขาบอก “เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ และข้ารู้สึกซาบซึ้งใจ”

นางส่ายหน้า

“แต่ท่านยังได้เห็นอีกด้านหนึ่งของข้าด้วย” นางบอก “ท่านได้เห็นว่าข้าไม่ปกติ ข้าไม่เหมือนคนอื่น ข้ามีพลังในตัวที่ข้าไม่เข้าใจ และตอนนี้ข้าก็กลัวว่าท่านจะคิดว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาด เป็นสตรีที่ท่านไม่ต้องการได้เป็นภรรยาอีกแล้ว”

อีเร็คปวดร้าวกับคำพูดของนาง เขาก้าวเข้ามาหา กุมมือนางไว้อย่างขึงขัง แล้วมองสบตานางอย่างจริงจังที่สุด

“อลิสแตร์” เขาเอ่ย “ข้ารักเจ้าด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเป็น ไม่เคยมีสตรีคนใดที่ข้าจะรักยิ่งไปกว่าเจ้า และจะไม่มีด้วย ข้ารักทุกอย่างที่เจ้าเป็น ข้าไม่เห็นว่าเจ้าแตกต่างจากคนอื่น ๆ ไม่ว่าเจ้าจะมีพลังอำนาจใด หรือเจ้าจะเป็นใครก็ตาม และถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจ แต่ข้าก็ยอมรับทุกอย่างได้ ข้าพอใจกับทุกสิ่งแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่สอดรู้ ข้าก็จะรักษาสัญญา ข้าจะไม่ถามเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าก็ยอมรับเจ้า”

นางจ้องมองเขานิ่งนาน ก่อนจะค่อย ๆ แย้มยิ้มออกมา ดวงตาคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาแห่งความโล่งอกและยินดี นางสวมกอดเขาแน่นด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่นางมี

นางกระซิบข้างหูเขา “กลับมาหาข้านะ”




аёљаё—аё—аёµа№€ аёЄаёµа№€


ราชากาเร็�ประทับอยู่ที่ปากถ้ำ ทอดพระเนตรมองดวงอาทิตย์ตกและรอคอย พระองค์ทรงเลียริมพระโอษฐ์ที่แห้งผากและพยายามตั้งพระสติ ฤท�ิ์ของฝิ่นค่อยจางไปในที่สุด พระองค์ทรงเวียนพระเศียร และไม่ได้เสวยอาหารและน้ำมาหลายวันแล้ว ราชากาเร็�ทรงคิดถึงตอนที่พระองค์แอบหนีออกมาจากปราสาท ทรงเสด็จหนีมาตามเส้นทางลับด้านหลังเตาผิง ก่อนที่ลอร์ดคัลตินจะทันลอบโจมตีพระองค์ ราชาทรงแย้มสรวล ลอร์ดคัลตินอาจจะฉลาด แต่ราชากาเร็�ทรงฉลาดกว่า เขาประเมินพระองค์ต่ำไปเหมือนกับคนอื่น ๆ เขาไม่รู้ว่าพระองค์ทรงมีสายลับอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทรงรู้แผนการของเขาเกือบจะทันที

ราชากาเร็�ทรงหนีมาได้ทันเวลา ก่อนที่คัลตินจะโจมตีพระองค์ และก่อนที่แอนโดรนิคัสจะบุกมาถึงราชสำนักและทำลายมันลงจนราบคาบ ลอร์ดคัลตินได้ช่วยพระองค์ไว้แท้ ๆ

ราชากาเร็�ทรงใช้เส้นทางลับโบราณที่คดเคี้ยวอยู่ใต้พื้นดิน และมาถึงเขตชนบทในที่สุด พระองค์ทรงโผล่ขึ้นมาที่หมู่บ้านที่ห่างไกลจากราชสำนักหลายไมล์ พระองค์ทรงโผล่ขึ้นมาใกล้กับถ้ำแห่งนี้และทรงสลบไสลไปเมื่อมาถึง ราชากาเร็�บรรทมตลอดทั้งวัน พระองค์ทรงขดตัวและสั่นสะท้านอยู่ในอากาศหนาวที่ไม่ปราณี ทรงนึกอยากให้พระองค์ทรงฉลองพระองค์มาหลายชั้นกว่านี้

ราชากาเร็�ทรงตื่นบรรทมและหมอบแอบดูหมู่บ้านชาวนาเล็ก ๆ ที่เห็นอยู่ไกล ๆ มีกระท่อมอยู่เพียงไม่กี่หลัง ควันไฟลอยขึ้นจากปล่องไฟ มีทหารของแอนโดรนิคัสเดินตรวจตราอยู่ทั่วหมู่บ้านและเขตชนบท  พระองค์ทรงอดทนรอจนพวกมันกระจายกันไป ราชาทรงปวดท้องด้วยความหิว พระองค์ทรงรู้ว่าจะต้องเสด็จไปให้ถึงกระท่อมสักหลังหนึ่งในหมู่บ้าน ทรงได้กลิ่นอาหารแม้จากตรงนี้

ราชากาเร็�ทรงรีบวิ่งออกจากถ้ำ พลางทอดพระเนตรดูทุกทาง พระองค์ทรงหอบแรงและลนลานด้วยความกลัว  พระองค์ไม่ได้ทรงวิ่งมาหลายปีแล้ว และต้องอ้าพระโอษฐ์หายพระทัยจากการวิ่ง มันทำให้ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงผอมห้องแรงน้อยเพียงใด บาดแผลที่พระเศียรจากการถูกพระมารดาฟาดด้วยรูปปั้นยังปวดตุบ หากพระองค์ทรงรอดไปได้ ทรงสาบานว่าจะสังหารพระนางด้วยพระองค์เอง

ราชาทรงวิ่งเข้าไปในเมือง และโชคดีไม่ถูกทหารจักรวรรดิสองสามคนที่ยืนหันหลังให้หันมาพบ พระองค์ทรงวิ่งเร็วเข้าไปในกระท่อมหลังแรกที่ทรงเห็น เป็นกระท่อมห้องเดียว�รรมดา ๆ เหมือนหลังอื่น ๆ มีแสงไฟอบอุ่นส่องออกมาจากด้านใน ราชากาเร็�ทรงเห็นเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์ กำลังเดินเข้าประตูมาพร้อมกับถือจานใส่เนื้อพูนจาน แย้มยิ้มกับเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่า อาจจะเป็นน้องสาวของนาง อายุราวสิบปี พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเลือกที่นี่

ราชากาเร็�ทรงวิ่งพรวดผ่านประตูเข้าไปพร้อมกับพวกนาง แล้วปิดประตูตามหลัง ก่อนจะคว้าตัวเด็กหญิงคนน้องไว้จากด้านหลัง ใช้พระพาหารัดลำคอนางไว้ เด็กหญิงกรีดร้องออกมา ขณะที่พี่สาวทำจานใส่อาหารหลุดมือ ราชากาเร็�ทรงดึงมีดจากเอวแล้วจ่อที่ลำคอของเด็กหญิง

นางส่งเสียงร้องพลางร้องไห้

“พ่อ!”

ราชากาเร็�ทอดพระเนตรดูภายในกระท่อมน่าสบาย แสงเทียนอาบไล้ไปทั่ว กลิ่นอาหารโชยไปทั่ว และทรงเห็นผู้เป็นบิดามารดายืนอยู่ข้างเด็กหญิงทั้งสอง ใกล้กับโต๊ะอาหาร กำลังมองมาที่พระองค์ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว

“ถอยไป แล้วข้าจะไม่ฆ่านาง!” ราชากาเร็�ทรงตะโกนบอกอย่างสิ้นหวัง ถอยห่างจากพวกเขา พลางจับตัวเด็กหญิงไว้แน่น

“ท่านเป็นใคร?” เด็กหญิงวัยรุ่นร้องถามขึ้น “ข้าชื่อซาร์คา น้องสาวข้าชื่อลาร์คา พวกเราเป็นครอบครัวรักสงบ ท่านต้องการอะไรจากน้องสาวข้า? ปล่อยนางไปเถิด!”

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร” ผู้เป็นบิดาหรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจ “เจ้าเป็นอดีตราชา บุตรของแม็คกิล”

“ข้ายังเป็นราชาอยู่” ราชากาเร็�ตะโกน “แล้วเจ้าก็เป็นประชาชนของข้า เจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่ง!”

คนเป็นบิดาทำหน้าบึ้ง

“ถ้าเจ้าเป็นราชา แล้วไหนล่ะกองทัพของเจ้า?” เขาถาม “และหากเจ้าเป็นราชา เหตุใดถึงมาใช้พระแสงนั่นจับตัวเด็กหญิงไร้เดียงสาเป็นตัวประกันเล่า? บางทีนั่นอาจจะเป็นพระแสงเล่มเดียวกับที่เจ้าใช้สังหารบิดาของตัวเองก็เป็นได้?” เขาเย้ยหยัน “ข้าได้ยินได้ฟังข่าวลือมาบ้าง”

“เจ้าสักแต่มีปาก” ราชากาเร็�ตรัส “พล่ามไปเรื่อย ๆ ข้าจะได้ฆ่าลูกสาวเจ้าเสีย”

ผู้เป็นบิดากลืนน้ำลาย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว ก่อนจะหุบปากเงียบ

“เจ้าต้องการอะไรจากพวกเรา?” ผู้เป็นมารดาร้องถามขึ้น

“อาหาร” ราชากาเร็�ตรัส “และที่พัก หากพวกเจ้าบอกให้พวกทหารรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ข้าสัญญาเลยว่าจะฆ่านางเสีย อย่าตุกติก เข้าใจไหม? หากเจ้ายอมให้ข้าอยู่ นางก็จะรอด ข้าจะนอนค้างที่นี่ เจ้า ซาร์คา เอาจานเนื้อมาให้ข้า ส่วนเจ้าเติมเชื้อไฟ แล้วไปหาเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ให้ข้า ไปช้า ๆ นะ” พระองค์ทรงเตือน

ราชากาเร็�ทรงมองดูคนบิดาพยักหน้าให้คนที่เป็นมารดา ซาร์คาหยิบเนื้อคืนใส่จาน ขณะที่มารดาเดินเข้ามาใกล้พร้อมด้วยเสื้อคลุมตัวหนาและคลุมให้ที่พระอังสา ราชากาเร็�ยังทรงสั่นสะท้าน พระองค์ค่อย ๆ ถอยไปหาเตาผิงช้า ๆ เปลวไฟที่ปะทุอยู่ด้านหลังให้ความอบอุ่น ขณะที่พระองค์ประทับนั่งลงบนพื้นข้างเตาผิง พลางจับตัวลาร์คาที่ยังคงร้องไห้ไว้แน่น ซาร์คาเดินเข้ามาพร้อมกับจานอาหาร

“วางลงบนพื้นข้างข้า!” ราชากาเร็�ตรัสสั่ง “ช้า ๆ”

ซาร์คานิ่วหน้าทำตาม พลางมองดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะกระแทกจานลงบนพื้นข้างพระองค์

กลิ่นอาหารดึงดูดราชากาเร็� พระองค์ทรงใช้พระหัตถ์ข้างที่ว่างหยิบเนื้อชิ้นใหญ่ อีกข้างยังถือพระแสงมีดสั้นจ่อที่ลำคอของลาร์คา พระองค์ทรงเคี้ยว พลางหลับพระเนตร เอร็ดอร่อยกับทุกคำ พระองค์ทรงเคี้ยวเร็วจนกลืนไม่ทัน ชิ้นเนื้อห้อยจากพระโอษฐ์

“เอาไวน์มา!” พระองค์ตะโกนสั่ง

คนที่เป็นมารดาส่งถุงไวน์ให้พระองค์ ซึ่งราชากาเร็�ทรงบีบมันใส่พระโอษฐ์ที่มีอาหารเต็ม เพื่อไล่อาหารลงพระศอไป พระองค์ทรงหายพระทัยลึก เคี้ยวและดื่ม เริ่มรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

“ตอนนี้ก็ปล่อยนางได้แล้ว!” ผู้เป็นบิดาบอก

“ไม่มีทาง” ราชากาเร็�ตรัส “ข้าจะนอนที่นี่ โดยกอดนางไว้แบบนี้ นางจะปลอดภัย ตราบเท่าที่ข้าปลอดภัย เจ้าอยากจะเป็นวีรบุรุษไหมล่ะ? หรือเจ้าอยากให้ลูกสาวมีชีวิต?”

ทั้งครอบครัวหันมองหน้ากัน ลังเลและพูดไม่ออก

“ข้าขอถามท่านอย่างหนึ่ง?” ซาร์คาเอ่ยถาม “หากท่านเป็นราชาที่ดี ทำไมถึงทำกับประชาชนของท่านแบบนี้?”

ราชากาเร็�ทอดพระเนตรมองนางด้วยความสงสัย ก่อนจะเอนองค์แล้วทรงพระสรวลออกมา

“ใครบอกกันเล่าว่าข้าเป็นราชาที่ดี?”




บทที่ ห้า


ราชินีเกว็นโดลีนทรงลืมพระเนตรขึ้น รู้สึกว่าโลกเคลื่อนที่อยู่รอบพระนาง ทรงพยายามนึกว่ากำลังอยู่ที่ใด พระนางทรงเห็นประตูหินโค้งสีแดงบานใหญ่ของซิเลเซียเคลื่อนผ่านไป ทรงเห็นทหารจักรวรรดิกำลังมองดูพระนางด้วยความประหลาดใจ ราชินีทรงเห็นสเตฟเฟนเดินอยู่ข้าง ๆ และเห็นท้องฟ้าขยับเคลื่อนที่ขึ้นลง พระนางทรงรู้แล้วว่ากำลังถูกอุ้มอยู่ ทรงอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง

พระนางทรงยื่นศอขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เป็นประกายกล้าของอาร์กอน ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้แล้วว่าอาร์กอนกำลังอุ้มพระนางอยู่ และมีสเตฟเฟนเดินอยู่ด้านข้าง พวกเขาทั้งสามกำลังเดินผ่านประตูเมืองซิเลเซีย ผ่านทหารจักรวรรดิหลายพันคนที่แหวกเปิดทางให้พวกเขา แล้วยืนมองนิ่ง มีแสงสีขาวเรืองรองล้อมทั้งสามไว้ ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้สึกถึงพลังงานแรงกล้าที่ช่วยปกป้องอยู่ในอ้อมแขนของอาร์กอน พระนางทรงรู้ว่าเขาร่ายมนตร์บางอย่างเพื่อกันทหารพวกนั้นให้อยู่ห่าง

ราชินีเกว็นทรงรู้สึกสบาย และปลอดภัยในอ้อมแขนของอาร์กอน กล้ามเนื้อทุกมัดในพระวรกายปวดร้าว พระนางทรงอ่อนล้า และทรงไม่รู้ว่าหากลองเดินจะสามารถเดินได้หรือไม่ ทรงกระพริบพระเนตรขณะที่ทุกคนเดินไป พระนางทรงเห็นโลกเคลื่อนผ่านไปส่วนเล็กส่วนน้อย ทรงเห็นกำแพงพังทลาย เชิงเทินถล่ม บ้านเรือนถูกเผา ซากปรักหักพัง พระนางทรงเห็นว่าทุกคนกำลังเดินผ่านลาน และไปถึงประตูที่อยู่ไกลสุด ที่ขอบเหวของหุบเขาใหญ่ ทหารจักรวรรดิเปิดทางให้พวกเขาผ่านประตูนี้เข้าไปด้วย

ทุกคนมาถึงขอบเหว บริเวณลานที่เต็มไปด้วยแท่งเหล็กแหลม และเมื่ออาร์กอนเดินมาถึง มันก็เคลื่อนต่ำลง พาพวกเขากลับลงไปยังเขตเมืองต่ำของซิเลเซีย

เมื่อทุกคนเข้าไปในเขตเมืองต่ำ ราชินีเกว็นโดลีนทรงเห็นใบหน้ามากมายที่แสดงความกังวล ใบหน้าใจดีของชาวซิเลเซียกำลังมองดูพระนางผ่านพวกเขาไปเหมือนขบวนแห่ ทุกคนมองมาด้วยความประหลาดใจและเป็นห่วง ขณะที่พระนางถูกพาลงไปยังจัตุรัสกลางเมือง

เมื่อไปถึง ประชาชนหลายร้อยคนห้อมล้อมพวกเขาอยู่ที่นั่น ราชินีทรงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เจ้าชายเคนดริค สร็อก เจ้าชายก็อดฟรีย์ บรอม คอล์ค แอ็ทมี ทหารกองรบเงินและกองยุวชนที่พระนางทรงจำได้ พวกเขาล้อมกันอยู่รอบ ๆ สีหน้าแสดงความเสียใจฉายอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า ขณะที่สายหมอกม้วนตัวมาจากหุบเขาใหญ่ และสายลมเย็นพัดมาปะทะพระนาง ราชินีทรงหลับพระเนตร ทรงอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้หายไป พระนางทรงรู้สึกราวกับตัวเองเป็นของที่นำมาแสดง รู้สึกต้อยต่ำและอับอาย และพระนางทรงรู้สึกว่าได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง

พวกเขายังเดินกันต่อไป ผ่านผู้คนเหล่านี้ไปยังตรอกแคบ ๆ ของเขตเมืองต่ำ ผ่านประตูโค้งอีกแห่ง และในที่สุดก็ไปถึงปราสาทเล็ก ๆ ของเขตเมืองต่ำ ราชินีเกว็นทรงสะลืมสะลือเมื่อพวกเขาเข้าไปในปราสาทสีแดงงดงาม ขึ้นบันไดและเดินไปตามโถงทางเดินยาว ก่อนจะผ่านประตูโค้งอีกแห่ง ในที่สุดก็ไปถึงประตูบานเล็กที่เปิดออกให้พวกเขาเข้าไปด้านใน

ภายในห้องมีแสงสลัว มันเป็นห้องบรรทมขนาดใหญ่ มีเตียงสี่เสาแบบโบราณตั้งอยู่ตรงกลาง เสียงไฟปะทุอยู่ในเตาผิงหินอ่อนที่อยู่ไม่ห่าง นางข้าหลวงหลายคนยืนรออยู่ในห้อง ราชินีเกว็นโดลีนทรงรู้สึกว่าอาร์กอนพาพระนางไปที่พระแท่นบรรทม แล้ววางลงอย่างทนุถนอม ก่อนที่คนมากมายจะห้อมล้อมเข้ามามองดูพระนางอย่างเป็นห่วง

อาร์กอนถอยห่างไป เขาก้าวถอยหลังแล้วหายไปท่ามกลางผู้คน ราชินีทรงมองหาเขา พระนางกระพริบพระเนตรหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบเขาอีก เขาจากไปแล้ว พลังงานที่ปกป้องก็หายไปด้วย มันโอบล้อมพระนางไว้ราวกับโล่ ราชินีเกว็นทรงรู้สึกหนาวและขาดผู้คุ้มครอง เมื่อไม่มีเขาอยู่ใกล้

ราชินีเกว็นทรงเลียพระโอษฐ์ที่แห้งแตก ครู่ต่อมาพระนางทรงรู้สึกว่ามีคนยกพระเศียรขึ้น แล้วสอดพระเขนยเข้ามาให้ มีผู้นำเหยือกน้ำมาจ่อที่พระโอษฐ์ พระนางทรงดื่มไม่หยุด และรู้ตัวว่าทรงกระหายเพียงใด เมื่อทรงเงยพระพักตร์ขึ้นก็เห็นสตรีนางหนึ่งซึ่งพระนางทรงรู้จักดี

อิลเลพรา หมอหลวง นางกำลังมองลงมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยนแสดงความเป็นห่วง นางป้อนน้ำ แล้วนำผ้าอุ่น ๆ มาเช็ดพระนลาฏ ปัดพระเกศาให้พ้นจากพระพักตร์ แล้ววางฝ่ามือลงที่พระนลาฏ ราชินีเกว็นทรงรู้สึกถึงพลังเยียวยาแผ่ซ่านมา พระนางรู้สึกว่าพระเนตรเริ่มหนักขึ้น และในไม่ช้าก็ทรงหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว


*

ราชินีเกว็นโดลีนทรงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เมื่อพระนางทรงลืมพระเนตรขึ้นอีกครั้ง พระนางยังคงอ่อนล้าและสับสน ในความฝันพระนางได้ยินเสียงหนึ่ง และตอนนี้ก็ทรงได้ยินมันอีกครั้ง

“เกว็นโดลีน” เสียงนั้นดังขึ้น พระนางได้ยินมันก้องอยู่ในพระหทัย และสงสัยว่าเขาเรียกพระนางมาแล้วกี่ครั้ง

ราชินีทรงลืมพระเนตรขึ้นมองและเห็นเจ้าชายเคนดริคกำลังมองดูพระนาง มีเจ้าชายก็อดฟรีย์ประทับอยู่ด้านข้าง พร้อมด้วยสร็อก บรอม คอล์ค และคนอื่น ๆ สเตฟเฟนยืนอยู่อีกข้าง พระนางไม่ชอบสีหน้าของพวกเขา ทุกคนมองดูพระนางราวกับเป็นสิ่งที่น่าเวทนา ราวกับพระนางเพิ่งฟื้นจากความตาย

“น้องข้า” เจ้าชายเคนดริคตรัสพลางแย้มสรวล พระนางทรงรู้สึกถึงความกังวลในน้ำเสียงของเชษฐา “บอกพวกเราว่าเกิดอะไรขึ้น”

ราชินีเกว็นส่ายพระเศียร ทรงอ่อนล้าเกินกว่าจะเล่าสิ่งใด

“แอนโดนิคัส” พระนางตรัส พระสุรเสียงแหบพร่าเปล่งออกมาราวกับเสียงกระซิบ ราชินีทรงกระแอม “ข้าพยายาม…ที่จะยอมศิโรราบ…เพื่อบ้านเมือง…ข้าไว้ใจมัน ช่างโง่นัก…”

พระนางส่ายพระเศียรอีกหลายครั้ง น้ำพระเนตรหยาดลงมาตามพระปราง

“ไม่หรอก เจ้าเป็นผู้มีเกียรติ” เจ้าชายเคนดริคตรัสแก้ พลางกุมพระหัตถ์พระนางไว้ “เจ้าเป็นผู้ที่กล้าหาญที่สุดในบรรดาพวกเรา”

“เจ้าทำสิ่งที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ควรจะทำ” เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัส พลางก้าวมาหา

ราชินีเกว็นส่ายพระพักตร์

“มันหลอกข้า…” ราชินีเกว็นโดลีนตรัส “…และทำร้ายข้า มันให้แม็คคลาวด์ทำร้ายข้า”

ราชินีเกว็นทรงอดกลั้นไม่ไหว พระนางเริ่มกรรแสงขณะที่ตรัสเล่า ทรงรู้ดีกว่าไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำควรจะทำ แต่พระนางทรงไม่อาจห้ามตัวเองได้

เจ้าชายเคนดริคทรงจับพระหัตถ์ขนิษฐาแน่นขึ้น

“พวกมันจะฆ่าข้า…” พระนางตรัสต่อ “…แต่สเตฟเฟนมาช่วยข้าไว้…”

ทุกคนหันไปมองดูสเตฟเฟนด้วยความนับถือ เขายืนก้มศีรษะอยู่ข้างพระนางด้วยความจงรักภักดี

“สิ่งที่ข้าได้ทำลงไปนั่นช่างเล็กน้อยและไม่ทันกาล” เขาบอกอย่างถ่อมตัว “ข้าเพียงคนเดียวต่อกรกับคนมากมาย”

“ถึงกระนั้น เจ้าก็ได้ช่วยน้องสาวของข้าไว้ และพวกเราจะเป็นหนี้เจ้าตลอดไป” เจ้าชายเคนดริคตรัส

สเตฟเฟนส่ายหน้า

“ข้าเป็นหนี้พระนางมากมายกว่านั้น” เขาตอบ

ราชินีเกว็นทรงกรรแสง

“อาร์กอนมาช่วยเราทั้งคู่ไว้” พระนางตรัสสรุป

เจ้าชายเคนดริคพระพักตร์หมองลง

“พวกเราจะแก้แค้นให้เจ้า” พระองค์ตรัส

“ข้าไม่ได้ห่วงตัวเอง” ราชินีตรัส “แต่เป็นห่วงเมือง…ประชาชน…ซิเลเซีย…แอนโดรนิคัส…มันจะโจมตี…”

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงตบพระหัตถ์พระนางเบา ๆ

“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” พระองค์ตรัสพลางก้าวเข้ามาใกล้ “พักผ่อนเถิด ให้พวกเราหารือกันเรื่องนี้เอง ตอนนี้เจ้าปลอดภัยอยู่ที่นี่แล้ว”

ราชินีเกว็นทรงรู้สึกว่าพระเนตรปิดลง พระนางทรงไม่รู้ว่ากำลังตื่นอยู่หรือเป็นความฝัน

“พระนางต้องพักผ่อน” อิลเลพราบอก พลางก้าวเข้ามาอย่างปกป้อง

ราชินีเกว็นโดลีนทรงรับรู้อย่างลางเลือน เมื่อทรงรู้สึกว่าพระวรกายเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ และล่องลอยสู่การหลับใหล ในพระหทัย พระนางทรงเห็นภาพ�อร์แวบขึ้นมา แล้วเป็นภาพพระบิดา พระนางทรงไม่อาจแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นความจริง และสิ่งใดคือความฝัน ราชินีเกว็นทรงได้ยินเสียงสนทนากระท่อนกระแท่นอยู่เหนือพระเศียร

“บาดแผลของนางร้ายแรงเพียงใด?” มีเสียงหนึ่งถามขึ้น อาจจะเป็นเสียงของเจ้าชายเคนดริค

พระนางทรงรู้สึกว่าอิลเลพราใช้ฝ่ามือลูบพระนลาฏ แล้วคำสุดท้ายที่ทรงได้ยินก่อนจะหลับไปเป็นเสียงของอิลเลพรา

“บาดแผลทางกายนั้นเล็กน้อย ฝ่าบาท  บาดแผลทางใจของพระนางต่างหากที่หนักหนา”


*

เมื่อราชินีเกว็นทรงตื่นบรรทมอีกครั้ง ทรงได้ยินเสียงเปลวไฟปะทุ พระนางทรงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทรงกระพริบพระเนตรหลายครั้ง ขณะที่ทอดพระเนตรไปรอบ ๆ ห้องแสงสลัว ผู้คนที่รายล้อมหายไปแล้ว เหลือเพียงสเตฟเฟนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างพระแท่น อิลเลพราที่ยืนอยู่เหนือพระนาง กำลังป้ายยาให้ที่ข้อพระกร และอีกคนหนึ่ง ชายชราใจดีที่กำลังมองดูพระนางด้วยความเป็นห่วง ราชินีเกว็นเกือบจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร แต่กลับต้องพยายามนึก พระนางทรงรู้สึกอ่อนล้า เหนื่อยอ่อนมากเกินไป ราวกับไม่ได้บรรทมมาหลายปี

“ฝ่าบาท?” ชายชราทูล พลางก้มเข้ามาหา เขาถือบางสิ่งขนาดใหญ่อยู่ด้วยสองมือ ราชินีเกว็นทอดพระเนตรมองและเห็นว่ามันคือหนังสือปกหนัง

“ข้าคืออะเบอร์�อล” เขาทูล “ครูผู้ชราของท่าน ทรงได้ยินข้าหรือไม่?”

ราชินีเกว็นทรงกลืนพระเขฬะแล้วพยักพระพักตร์ช้า ๆ หรี่ปรือพระเนตรขึ้นเพียงเล็กน้อย

“ข้ารอเฝ้าอยู่หลายชั่วโมง” เขาทูล “ข้าเห็นท่านทรงกระสับกระส่าย”

พระนางทรงพยักพระพักตร์ช้า ๆ อย่างจำได้ และซาบซึ้งที่เขามา

อะเบอร์�อลก้มลงมาใกล้ แล้วเปิดหนังสือเล่มใหญ่ของเขา พระนางทรงรู้สึกถึงน้ำหนักของมันบนพระเพลา และทรงได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษอันใหญ่โต เมื่อเขากางมันออก

“นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เล่มที่ข้านำออกมาได้” เขาทูล “ก่อนที่สภาแห่งปราชญ์จะถูกเผา มันคือจดหมายเหตุเล่มที่สี่ของแม็คกิล ท่านทรงเคยอ่านแล้ว เป็นเรื่องราวของการพิชิต ชัยชนะและการพ่ายแพ้ แน่นอนว่ายังมีเรื่องราวอื่นด้วย เรื่องราวการบาดเจ็บของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ทั้งบาดแผลทางกาย และบาดแผลทางใจ การบาดเจ็บทุกอย่างที่จะมีได้ ฝ่าบาท และนี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจะทูล แม้แต่บุรุษและสตรีที่เก่งที่สุดต่างก็ทนทุกข์กับการกระทำ อาการบาดเจ็บและความทรมานที่เกินจะคิดฝันถึงที่สุด ท่านไม่ได้อยู่เดียวดาย ท่านเป็นเพียงซี่ล้อหนึ่งในกงล้อแห่งเวลา ยังมีคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าท่าน และมีหลายคนที่รอดชีวิต และกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่”

“อย่าทรงละอาย” เขาทูล พลางจับพระหัตถ์ของพระนางไว้ “นี่คือสิ่งที่ข้าอยากจะบอก อย่าทรงละอาย ไม่มีสิ่งใดที่ท่านต้องอับอาย มีเพียงเกียรติยศและความกล้าหาญในสิ่งที่ท่านได้ทำลงไป ท่านทรงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่อาณาจักรวงแหวนเคยมี และนี่ไม่ได้ทำให้มันด้อยค่าลงเลย”

ราชินีเกว็นทรงประทับใจกับคำพูดของเขา น้ำพระเนตรหยาดลงอาบพระปราง คำพูดของเขาเป็นสิ่งที่พระนางทรงต้องการฟัง และทรงซาบซึ้งอย่างยิ่ง โดยหลังแห่งตรรกะแล้วพระนางทรงรับรู้และเข้าใจว่าเขากล่าวถูกต้อง

แต่โดยทางอารมณ์แล้ว พระนางยังทรงต้องการเวลาในการยอมรับ ทรงอดรู้สึกไม่ได้ว่าพระนางทรงถูกทำลายไปแล้วตลอดกาล ราชินีทรงรู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่ก็เป็นสิ่งที่ทรงรู้สึก

อะเบอร์�อลยิ้ม ขณะที่หยิบหนังสือเล่มเล็กกว่าออกมา

“ทรงจำหนังสือเล่มนี้ได้ไหม?” เขาทูลถาม หันหน้าปกหนังสีแดงมาให้ “หนังสือเล่มโปรดของท่านตอนยังทรงพระเยาว์ ตำนานของบรรพบุรุษ มีเรื่องหนึ่งในนี้ที่ข้าอยากจะอ่านถวาย เพื่อช่วยท่านฆ่าเวลา”

ราชินีเกว็นทรงประทับใจกับความเอื้อเฟื้อ แต่พระนางทรงรับไม่ไหวอีกแล้ว ทรงส่ายพระพักตร์อย่างเศร้าสร้อย

“ขอบใจท่านมาก” พระนางตรัสเสียงแหบพร่า น้ำพระเนตรหยดลงมาอีก “แต่ข้ายังไม่อยากฟังตอนนี้”

อะเบอร์�อลมีสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“โอกาสหน้าเถอะนะ” พระนางตรัสอย่างหดหู่ “ข้าอยากอยู่คนเดียว โปรดให้ข้าอยู่ตามลำพังเถิด พวกท่านทุกคน” พระนางตรัส พลางหันไปมองสเตฟเฟนและอิลเลพรา

ทุกคนลุกขึ้นยืน ถวายคำนับ แล้วรีบออกจากห้องไป

ราชินีเกว็นทรงรู้สึกผิด แต่พระนางไม่อาจหยุดได้ พระนางทรงอยากจะขาดใจตายไปเสีย ทรงฟังเสียงฝีเท้าของพวกเขาเดินออกไปจากห้อง ได้ยินเสียงประตูปิดลง แล้วจึงเงยพระพักตร์ขึ้นดูว่าในห้องไม่มีใครอยู่แล้วหรือไม่

แต่พระนางกลับต้องประหลาดพระทัยที่เห็นว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงช่องประตู ท่วงท่าสง่าเหมือนเช่นเคย พระนางเสด็จตรงมาหาราชินีเกว็นช้า ๆ และหยุดยืนห่างจากพระแท่นไปเพียงไม่กี่ฟุต ทอดพระเนตรมองพระนางด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย

аёћаёЈаё°аёЎаёІаёЈаё”аёІаё‚аё­аё‡аёћаёЈаё°аё™аёІаё‡

ราชินีเกว็นทรงประหลาดพระทัยที่ได้เห็นพระมารดา อดีตราชินีผู้ทรงสง่างามและภาคภูมิเหมือนเช่นเคย ทอดพระเนตรมองพระนางด้วยพระพักตร์เย็นชาเหมือนเคย ไม่มีความเห็นอกเห็นใจในแววพระเนตร เหมือนที่คนอื่น ๆ ที่มาเยี่ยมมีให้

“ท่านมาที่นี่ทำไม?” ราชินีเกว็นตรัสถาม

“ข้ามาหาเจ้า”

“แต่จ้าไม่อยากพบท่าน” ราชินีเกว็นตรัสตอบ “ข้าไม่อยากพบใครทั้งนั้น”

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าต้องการอะไร” พระมารดาตรัสอย่างเย็นชาและมั่นใจ “ข้าเป็นแม่ของเจ้า และข้ามีสิท�ิ์มาพบเจ้าเมื่อข้าต้องการ”

ราชินีเกว็นทรงรู้สึกถึงความกริ้วโกร�ที่มีต่อพระมารดาในอดีตปะทุขึ้นอีกครั้ง พระนางทรงเป็นคนสุดท้ายที่ราชินีเกว็นโดลีนทรงต้องการพบในเวลาเช่นนี้ แต่ทรงรู้จักพระมารดาดีและรู้ว่าพระนางจะไม่จากไปจนกว่าจะได้พูดในสิ่งที่ต้องการ

“เช่นนั้นก็ทรงตรัสมา” ราชินีเกว็นโดลีนตรัสบอก “เสร็จแล้วก็ไปเสีย แล้วอย่ามายุ่งกับข้าอีก”

аёћаёЈаё°аёЎаёІаёЈаё”аёІаё—аёЈаё‡аё–аё­аё™аё«аёІаёўа№ѓаё€

“เจ้าไม่เคยรู้เรื่องนี้” พระมารดาตรัส “แต่สมัยที่ข้ายังสาว อายุรุ่นเดียวกับเจ้า ข้าก็ถูกทำร้ายเหมือนกับที่เจ้าโดน”

ราชินีเกว็นทอดพระเนตรมองพระมารดาด้วยความตกพระทัย พระนางทรงไม่เคยรู้มาก่อน

“พระบิดาของเจ้าทรงรู้เรื่องนี้” พระมารดาตรัสเล่าต่อ “และพระองค์ไม่ได้ใส่พระทัย ทรงแต่งงานกับข้าเช่นเดิม ในตอนนั้นข้ารู้สึกเหมือนโลกของข้าจบสิ้นแล้ว แต่มันมิได้เป็นเช่นนั้น”

ราชินีเกว็นทรงหลับพระเนตร รู้สึกว่าน้ำพระเนตรหยาดลงมาตามพระปราง ทรงพยายามปิดกั้นไม่รับฟัง พระนางทรงไม่ต้องการฟังเรื่องของพระมารดา มันสายเกินไปที่พระมารดาจะแสดงความเห็นอกเห็นใจใด ๆ นี่พระนางทรงคิดว่าจะทรงเยื้องย่างเข้ามาที่นี่ หลังจากหลายปีที่ทรงเกรี้ยวกราดใส่ มาเล่าเรื่องราวน่าเวทนา แล้วคาดว่าทุกสิ่งจะถูกแก้ไขอย่างนั้นหรือ?

“ท่านตรัสเสร็จหรือยัง?” ราชินีเกว็นตรัสถาม

พระมารดาทรงก้าวมาด้านหน้า “ยัง ข้ายังพูดไม่จบ” พระนางตรัสหนักแน่น “ตอนนี้เจ้าเป็นราชินีแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าต้องทำตัวเหมือนเป็นราชินี” พระมารดาตรัสด้วยพระสุรเสียงกระด้างดุจเหล็กกล้า ราชินีเกว็นทรงรู้สึกถึงความเข้มแข็งในพระสุรเสียงอย่างที่ทรงไม่เคยได้ยินมาก่อน “เจ้าเวทนาตัวเอง แต่มีสตรีที่ต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุก ๆ วัน สิ่งที่เกิดกับเจ้านั้นไม่มีค่าอะไรเลยในวิถีแห่งชีวิต เจ้าเข้าใจข้าไหม? มันไม่มีความหมายอะไร”

аёћаёЈаё°аёЎаёІаёЈаё”аёІаё—аёЈаё‡аё–аё­аё™аё«аёІаёўа№ѓаё€

“หากเจ้าอยากจะมีชีวิตรอดและใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เจ้าจะต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งกว่าบุรุษ บุรุษจะชนะเจ้าได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า แต่เป็นวิ�ีที่เจ้ายอมรับมัน วิ�ีที่เจ้ารับมือกับมันต่างหาก นั่นคือสิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้ เจ้าอาจจะหมดอาลัยตายอยากแล้วสิ้นใจตายไป หรือเจ้าจะเข้มแข็ง นั่นคือความแตกต่างระหว่างเด็กสาวกับสตรี”

ราชินีเกว็นทรงรู้ว่าพระมารดาพยายามที่จะช่วย แต่พระนางทรงกริ้วกับท่าทีที่ขาดความเห็นอกเห็นใจของพระมารดา และทรงขุ่นเคืองที่ถูกสั่งสอน

“ข้าเกลียดท่าน” ราชินีเกว็นโดลีนตรัสบอก “ข้าเกลียดท่านเสมอ”

“ข้ารู้” พระมารดาตรัส “ข้าก็เกลียดเจ้าเช่นกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจกันได้ ข้าไม่ต้องการความรักของเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการคือให้เจ้าเข้มแข็ง โลกนี้ไม่ได้ปกครองโดยผู้อ่อนแอและขลาดกลัว แต่ปกครองโดยผู้ที่ไม่หวาดหวั่นต่อเคราะห์กรรม เจ้าอาจจะล้มลงและตายไปก็ได้หากเจ้าต้องการ แต่ยังมีเวลาอีกมากสำหรับเรื่องนั้น และมันออกจะน่าเบื่อ จงเข้มแข็งและมีชีวิตอยู่ต่อไป ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง และเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น เพราะในวันหนึ่ง ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะได้ตายแน่นอน แต่ระหว่างที่เจ้ายังมีชีวิต ก็ควรจะใช้ชีวิตให้ดี”

“ไปให้พ้น!” ราชินีเกว็นโดลีนทรงตะโกน ทรงไม่อาจทนฟังได้อีกแม้แต่คำเดียว

พระมารดาทอดพระเนตรมองมาอย่างเย็นชา และในที่สุดหลังจากความเงียบอันยาวนาน พระนางก็ทรงหันหลังและเสด็จจากไป ด้วยท่วงท่าราวกับนกยูง แล้วกระแทกประตูตามหลัง

ในความเงียบที่ว่างเปล่านั้น ราชินีเกว็นทรงกรรแสง พระนางทรงคร่ำครวญ และปรารถนาอย่างยิ่งให้ทุกสิ่งหายไปเสียที




аёљаё—аё—аёµа№€ аё«аёЃ


เจ้าชายเคนดริคประทับอยู่ที่ลานกว้างที่ริมขอบเหวของหุบเขาใหญ่ ทอดพระเนตรมองดูสายหมอกที่ม้วนตัวเป็นคลื่น ขณะที่ทรงทอดพระเนตรมองออกไปนั้น พระองค์ทรงพระทัยสลาย ทรงปวดร้าวที่ได้เห็นขนิษฐาทรงเป็นเช่นนั้น ทรงเสียพระทัยเหมือนกับทรงเป็นผู้ที่ถูกทำลาย พระองค์ทรงเห็นได้จากสีหน้าของชาวซิเลเซียทุกคนว่าพวกเขามองว่าราชินีเกว็นทรงเป็นมากกว่าผู้นำของพวกเขา ทุกคนมองว่าพระนางเป็นครอบครัว ทุกคนก็เสียใจไปด้วย เหมือนกับแอนโดรนิคัสได้ทำร้ายพวกเขาทุกคน

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าพระองค์ควรจะถูกตำหนิ พระองค์ควรจะทรงรู้ว่าขนิษฐาจะต้องทำอะไรเช่นนี้ พระองค์ควรจะทรงรู้ว่าขนิษฐานั้นกล้าหาญเพียงใด และน่าจะคาดการณ์ได้ว่าพระนางจะต้องยอมมอบตัวก่อนที่ใครจะมีโอกาสห้ามได้ เจ้าชายเคนดริคควรจะหาทางป้องกันไม่ให้พระนางทรงทำเช่นนั้น พระองค์ทรงรู้จักนิสัยของขนิษฐาดี รู้ว่าพระนางไว้ใจคน และมีจิตใจดี พระองค์ซึ่งเป็นนักรบน่าจะรู้จักความโหดร้ายของพวกผู้นำทั่วไปดีกว่าพระนาง พระองค์ทรงอายุมากกว่าและฉลาดกว่า เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าพระองค์ทรงทำให้ขนิษฐาผิดหวัง

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าพระองค์ควรจะถูกตำหนิสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ สถานการณ์เลวร้ายนี้มันมากเกินกว่าที่จะฝากไว้กับคนเพียงคนเดียว เด็กสาวอายุ 16 ปี ผู้ปกครองที่เพิ่งได้ครองมงกุฎ พระนางไม่ควรจะต้องแบกรับความเลวร้ายทั้งหมดไว้เพียงลำพัง นั่นเป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งแม้สำหรับพระองค์เอง หรือแม้แต่พระบิดา ราชินีเกว็นโดลีนทรงทำดีที่สุดที่พระนางจะทรงทำได้ในสถานการณ์เช่นนี้ และอาจจะดีกว่าที่ใครจะสามารถทำได้ เจ้าชายเคนดริคเองก็ทรงไม่รู้ว่าจะรับมือกับแอนโดรนิคัสเช่นไร ไม่มีใครรู้

พระองค์ทรงคิดถึงแอนโดรนิคัสแล้วก็หน้าแดงด้วยความกริ้ว มันเป็นผู้นำที่ไม่มีศีล�รรม ไม่มีหลักการ ไม่มีมนุษย�รรม เจ้าชายเคนดริคทรงรู้ชัดว่าหากตอนนี้ทุกคนยอมแพ้ ก็จะต้องพบกับชะตากรรมเดียวกัน แอนโดรนิคัสอาจจะสังหารหรือจับทุกคนไปเป็นทาส

มีบางอย่างในบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เจ้าชายเคนดริคทรงเห็นได้จากแววตาของทุกคน และทรงรู้สึกด้วยพระองค์เอง ชาวซิเลเซียไม่ต้องการเพียงแค่ตั้งรับและมีชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ทุกคนต้องการแก้แค้น

“ชาวซิเลเซียทุกคน!” มีเสียงดังแผดขึ้น

ชาวเมืองต่างเงียบเสียงและเงยหน้าขึ้นมอง ที่เขตเมืองสูง ตรงขอบผา แอนโดรนิคัสกำลังมองลงมาที่พวกเขา โดยมีลูกสมุนรายล้อม

“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้เลือก!” พระองค์ทรงตะโกน “ส่งตัวเกว็นโดลีนมาให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า! หาไม่ข้าจะยิง�นูไฟเผาพวกเจ้า เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตก เปลวไฟร้อนแรงจะแผดเผาพวกเจ้าจนไม่มีผู้ใดรอดชีวิต”

พระองค์ทรงหยุด แล้วแย้มสรวล

“นี่เป็นข้อเสนอที่ใจกว้างมากแล้ว จงอย่าคิดนาน”

เมื่อตรัสเสร็จ แอนโดรนิคัสก็หันหลังแล้วกระทืบบาทจากไป

ชาวซิเลเซียค่อย ๆ หันกลับมามองดูกัน

สร็อกก้าวมาด้านหน้า

“พี่น้องชาวซิเลเซียทุกคน!” สร็อกตะโกนบอกกลุ่มทหารที่รวมกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่เจ้าชายเคนดริคทรงไม่เคยเห็นมาก่อน “แอนโดรนิคัสทำร้ายผู้นำที่ดีที่สุด และน่านับถือที่สุดของพวกเรา พระนางทรงเป็น�ิดาของราชาแม็คกิลผู้เป็นที่รักของเรา และเป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนกับมันได้ทำร้ายพวกเราทุกคน แอนโดรนิคัสพยายามที่จะทำลายเกียรติยศของพวกเรา แต่มันทำได้เพียงทำลายเกียรติของตัวเอง!”

“ใช่!” ฝูงชนส่งเสียงรับ เหล่าทหารฮึกเหิม ต่างจับดาบของตัวเองไว้ และมีเปลวไฟในแววตา

“เจ้าชายเคนดริค” สร็อกทูลพลางพันมาหาพระองค์ “ท่านจะทรงเสนออย่างไร?”

เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรดูสายตาของทุกคนตรงหน้า

“เราจะโจมตี!” เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนบอก เปลวไฟร้อนแรงแล่นพล่านอยู่ในพระโลหิต

ฝูงชนต่างโห่ร้องอย่างเห็นด้วย และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้น ไม่มีความหวาดกลัวในแววตาของพวกเขา ทุกคนพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย

“พวกเราจะตายอย่างมนุษย์ ไม่ใช่อย่างสุนัข!” เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนบอกอีก

“ใช่!” ชาวเมืองตะโกนตอบ

“พวกเราจะสู้เพื่อราชินีเกว็นโดลีน! เพื่อมารดา พี่สาวน้องสาวและภรรยาทุกคน!”

“ใช่!”

“เพื่อราชินีเกว็นโดลีน!” เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกน

“เพื่อราชินีเกว็นโดลีน!” ประชาชนตะโกนรับ

ทุกคนต่างโห่ร้องอย่างยินดี และเริ่มชุมนุมกันหนาแน่นขึ้น

พวกเขาตะโกนขึ้นครั้งสุดท้ายแล้วตามเจ้าชายเคนดริคและสร็อกไปตามทางเดินแคบ ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปสู่เขตเมืองสูง ถึงเวลาแสดงให้แอนโดรนิคัสเห็นแล้วว่ากองรบเงินสร้างขึ้นจากอะไร




บทที่ เจ็ด


�อร์ยืนอยู่กับเจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็น คอนเวน อินดรา และโครห์น ที่ปากแม่น้ำ ทุกคนกำลังมองดูร่างของคอนวอล บรรยากาศเต็มไปด้วยความหม่นหมอง �อร์รู้สึกเหมือนเป็นตัวเขาเอง ความรู้สึกผิดที่สุมอยู่ในอกฉุดเขาลงไป เมื่อเขามองดูคอนวอล เพื่อนทหารยุวชนของเขานอนไร้ชีวิต มันดูไม่น่าจะเป็นไปได้ เท่าที่�อร์จำได้ พวกเขาหกคนออกเดินทางมาด้วยกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเหลือเพียงห้าคน มันทำให้เขาคิดถึงการตายของตัวเอง

�อร์คิดถึงตอนที่คอนวอลอยู่ด้วย จดจำช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ ทุกย่างก้าวในการเดินทาง นับตั้งแต่วันแรกที่�อร์เข้าร่วมกองทหารยุวชน คอนวอลก็เป็นเหมือนพี่น้อง เขามักจะคอยอยู่เคียงข้าง�อร์และมีคำพูดดี ๆ ให้เสมอ ไม่เหมือนบางคน คอนวอลยอมรับเขาเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก การที่ต้องมาเห็นเขานอนไร้ชีวิตเช่นนี้ และโดยเฉพาะเป็นผลจากความผิดพลาดของ�อร์เอง ทำให้เขายิ่งรู้สึกปั่นป่วนในท้อง ถ้าเขาไม่ไว้ใจสามพี่น้องนั่น ป่านนี้คอนวอลก็คงยังมีชีวิตอยู่

�อร์คิดถึงคอนวอล โดยไม่มีคอนเวนไม่ได้ ทั้งสองเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันและสนิทกันมาก มักจะเข้าใจความคิดของกันและกันเสมอ เขาคิดไม่ออกเลยว่าคอนเวนจะเจ็บปวดเพียงใด ดูเหมือนคอนเวนจะไม่มีกระจิตกระใจอีกแล้ว คอนเวนผู้มีความสุข เสรีที่เขาเคยรู้จักดูเหมือนจะจากไปพร้อมกับดาบที่ฟันลงมาครั้งนั้น

ทุกคนยังคงยืนอยู่ที่ริมสนามรบที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ศพของทหารจักรวรรดิกองกันอยู่รอบตัวพวกเขา ทุกคนยืนมองคอนวอล ไม่มีใครอยากไปไหนจนกว่าจะได้ทำพิ�ีศพที่เหมาะสมให้คอนวอล พวกเขาพบผ้าขนสัตว์อย่างดีจากพวกทหารจักรวรรดิ จึงปลดมันมาห่อร่างของคอนวอลไว้ แล้ววางเขาลงในเรือลำเล็กที่นำพวกเขามาถึงที่นี่ ร่างของคอนวอลนอนอยู่ในเรือ เหยียดยาวและแข็งทื่อ นอนหงายมองท้องฟ้า เป็นพิ�ีศพของนักรบ ร่างของคอนวอลเย็น แข็งและเป็นสีฟ้าราวกับไม่เคยมีชีวิตอยู่

พวกเขายืนอยู่เช่นนั้นอยู่นาน แต่ละคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความเศร้าของตัวเอง ไม่มีใครอยากเห็นร่างของเขาจากไป อินดราหลับตา ขยับมือวนเป็นวงกลมเล็ก ๆ อยู่เหนือศีรษะของคอนวอล และสวดอะไรบางอย่างด้วยภาษาที่�อร์ไม่เข้าใจ เขาบอกได้ว่านางใส่ใจคอนวอลมากเพียงใด ขณะที่ทำพิ�ีศพให้อย่างตั้งใจ �อร์รู้สึกสงบกับเสียงสวด ไม่มีใครกล่าวอะไร ทุกคนต่างยืนเงียบด้วยความเศร้าโศก ปล่อยให้อินดราทำพิ�ี

ในที่สุด อินดราก็หยุดแล้วถอยห่างออกมา คอนเวนก้าวไปด้านหน้า น้ำตาหยดลงมาตามแก้ม เขาคุกเข่าลงข้างคู่แฝด ยื่นมือไปจับมือคอนวอล แล้วก้มศีรษะ

คอนเวนผลักเรือออกไป มันลอยไปสู่สายน้ำนิ่งในแม่น้ำ และราวกับสายน้ำเป็นใจ ช่วยพัดมันจากไปช้า ๆ เรือลอยห่างออกไปเรื่อย ๆ โครห์นส่งเสียงคราง จู่ ๆ สายหมอกก็ปรากฏขึ้นกลืนเรือลำน้อยไว้ จนหายลับตาไป

�อร์รู้สึกราวกับเป็นร่างของเขาเองที่ถูกพาไปยังโลกแห่งความตาย

ทุกคนหันกลับมาหากันช้า ๆ แล้วมองผ่านสนามรบ ไปยังภูมิประเทศที่อยู่ด้านหลัง เลยไปคือดินแดนแห่งความตายที่พวกเขาผ่านมา ด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และอีกด้านเป็นทะเลทรายแผดเผาว่างเปล่า พวกเขากำลังยืนอยู่ที่ทางแยก

�อร์หันไปหาอินดรา

“การจะไปที่ทะเลสาบไม่มีวันจม เราจะต้องข้ามทะเลทรายนั่นไปใช่ไหม?” �อร์ถาม

นางพยักหน้า

“ไม่มีทางอื่นเลยหรือ?” เขาถาม

аё™аёІаё‡аёЄа№€аёІаёўаёЁаёµаёЈаё©аё°

“มีทางอื่นอีก แต่อ้อม ท่านจะเสียเวลาอีกหลายอาทิตย์ หากท่านต้องการไปถึงก่อนพวกขโมย นั่นเป็นทางเดียว”

คนอื่น ๆ ยืนมองดูมันอยู่นาน ดวงอาทิตย์แผดเผาเหนือทะเลทราย มองเห็นคลื่นความร้อนอยู่เป็นริ้ว

“มันดูไม่ง่ายเลย” เจ้าชายรีซตรัส พลางก้าวมาประทับข้าง�อร์

“ข้าไม่เคยเห็นใครที่ข้ามมันไปได้แล้วมีชีวิตรอด” อินดราบอก “มันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย”

“เรามีเสบียงไม่พอ” โอคอนเนอร์บอก “เราไม่รอดแน่”

“แต่มันเป็นทางไปสู่ดาบ” �อร์บอก

“สมมุติว่าดาบยังอยู่นะ” เอลเด็นบอก

“ถ้าพวกขโมยไปถึงทะเลสาบก่อน” อินเราบอก “ดาบอันมีค่าของพวกท่านจะหายไปตลอดกาล พวกท่านจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อความฝัน สิ่งที่พวกท่านทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือหันหลังแล้วกลับไปยังอาณาจักรวงแหวน”

“เราจะไม่หันหลังกลับ” �อร์บอกอย่างมุ่งมั่น

“โดยเฉพาะตอนนี้” คอนเวนกล่าวเสริม พลางก้าวมาด้านหน้า ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความโกร�และเสียใจ

“เราจะต้องหาดาบนั่นให้พบ หรือไม่ก็ยอมตาย” เจ้าชายรีซตรัส

อินดราส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“ข้าก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบอื่นจากพวกท่านหรอก” นางบอก “บ้าบิ่นจนถึงที่สุด”


*

�อร์เดินไปในทะเลทรายพร้อมกับคนอื่น ๆ หรี่ตาสู้แสงแดดจ้า อ้าปากหายใจในอากาศร้อนที่ไม่ยอมผ่อนปรน เขาคิดว่าเขาคงจะพอใจที่พ้นมาจากดินแดนแห่งความตาย จากความหม่นหมองไม่สิ้นสุดของมันและการไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ แต่เขากลับต้องมาพบความแตกต่างสุดขั้ว ณ ที่นี้ ในทะเลทรายที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากแสงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์สีเหลืองและท้องฟ้าสีเหลือง สาดแสงลงมาที่เขาและไม่มีที่ไหนให้หลบ �อร์รู้สึกปวดหัวและวิงเวียน เขาพยายามลากเท้าเดินไป รู้สึกราวกับเดินมาตลอดชีวิต เมื่อมองดูเพื่อน ๆ ก็เห็นว่ามีอาการเดียวกัน

พวกเขาเดินกันมาครึ่งวัน และไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปได้อีกนานแค่ไหน เขาหันไปดูอินดราที่คลุมผ้าคลุมศีรษะไว้เหนือหัว และนึกสงสัยว่านางคงจะพูดถูก บางทีพวกเขาคงจะบ้าบิ่นเกินไปที่พยายามจะทำภารกิจนี้ แต่เขาปฏิญาณว่าจะหาดาบให้พบ แล้วพวกเขาจะมีทางเลือกอะไรอีก?

ขณะที่เดินกันไป เท้าของพวกเขาทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งตลบ ทำให้ยิ่งหายใจยากขึ้น ตรงขอบฟ้าไม่มีสิ่งใด นอกจากทะเลทรายที่ถูกแดดเผา ทุกอย่างราบโล่งไปสุดลูกหูลูกตา ไม่มีเงาร่างของสิ่งก่อสร้าง ถนน หรือภูเขา หรือสิ่งใดเลย มีเพียงทะเลทรายเท่านั้น �อร์รู้สึกราวกับพวกเขาเดินทางมาถึงสุดขอบโลก

ขณะที่เดินไป �อร์ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รู้เป็นครั้งแรกว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน ไม่ต้องคอยฟังสามพี่น้องนั่นกับแผนที่โง่ ๆ ของพวกเขาอีกแล้ว ตอนนี้อินดราเป็นผู้นำทาง และเขาไว้ใจนางมากกว่าที่ไว้ใจพวกนั้น เขารู้สึกแน่ใจว่ากำลังไปถูกทาง แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะรอดชีวิตจากการเดินทาง

�อร์ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแว่ว ๆ เมื่อก้มลงมอง เขาก็เห็นพื้นทรายรอบตัวเขาหมุนเป็นวง คนอื่น ๆ ก็เห็นเช่นเดียวกัน �อร์รู้สึกสับสนขณะที่มองดูทรายค่อย ๆ รวมกันช้า ๆ เป็นวงกลมชัดเจนขึ้นแทบเท้าเขา ก่อนจะยกตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่นานก็เกิดฝุ่นฟุ้งยกตัวขึ้นจากพื้นทะเลทรายสูงขึ้นไปในอากาศ

ทันใดนั้น�อร์รู้สึกว่าทั้งตัวเขาแห้งผากขึ้น เขารู้สึกเหมือนน้ำทุกหยดในร่างกายถูกดูดออกไป เขากระหายน้ำมาก ไม่เคยกระหายน้ำมากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

เขาลนลานควานหาถุงใส่น้ำด้วยความตื่นตระหนก ยกมันขึ้นบีบใส่ปาก แต่น้ำกลับไหลย้อนขึ้นไปด้านบน ขึ้นไปยังท้องฟ้า ไม่หยดลงมาที่ริมฝีปากของเขา

“เกิดอะไรขึ้น?” �อร์ตะโกนถามอินดรา พลางอ้าปากหายใจ

นางมองดูท้องฟ้าด้วยความกลัว เปิดผ้าคลุมศีรษะออก

“ฝนย้อน!” นางตะโกนตอบ

“มันคืออะไร?” เอลเด็นตะโกนถาม หอบหายใจ พลางกุมลำคอไว้

“ฝนที่ไหลย้อนขึ้น!” นางตะโกน “ความชื้นทั้งหมดจะถูกดูดขึ้นไปบนฟ้า!”

�อร์มองดูน้ำที่เหลือในถุงพุ่งขึ้นไปด้านบน แล้วเห็นถุงน้ำปริแตกและแห้งลง ก่อนจะหล่นลงไปบนพื้นทรายเหมือนกับมันฝรั่งแห้ง ๆ

�อร์คุกเข่าลงกับพื้น กุมลำคอไว้ เกือบจะหายใจไม่ออก เพื่อนคนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน

“น้ำ!” เอลเด็นโอดครวญอยู่ข้าง ๆ

มีเสียงกัมปนาทดังขึ้น เหมือนกับฟ้าผ่านับพันครั้ง �อร์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มดำครึ้ม เมฆฝนเริ่มก่อตัว และเคลื่อนมาหาพวกเขาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

“หมอบลง!” อินดราตะโกน “ท้องฟ้ากำลังย้อนกลับ!”

นางพูดยังไม่ทันจบ ท้องฟ้าก็เปิดออก กำแพงน้ำเทลงมา กระแทกใส่�อร์และเพื่อน ๆ ด้วยกำลังแรงของคลื่นน้ำ

�อร์กลิ้งหลุน ๆ ไปตามคลื่นน้ำ เขาไม่รู้ว่าตีลังกาอยู่นานเพียงใด ในที่สุดเขาก็กลับมาอยู่ที่พื้นทะเลทราย คลื่นน้ำซัดผ่านไปแล้ว มีฝนเทตามลงมา �อร์เงยหน้าดื่มน้ำฝนไม่หยุด เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ จนในที่สุดเขาก็ไม่กระหายน้ำอีก

พวกเขาค่อย ๆ ลุกขึ้น พลางหอบหายใจ ดูสะบักสะบอม ทุกคนมองหน้ากันพวกเขารอดชีวิต เมื่อความตกใจและหวาดกลัวจางหายไปแล้ว ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“พวกเรายังไม่ตาย!” โอคอนเนอร์ตะโกน

“นั่นมันเลวร้ายที่สุดที่ทะเลทรายนี่จะมีให้เราแล้วใช่ไหม?” เจ้าชายรีซตรัสถาม ทรงยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่

อินดราส่ายหน้าอย่างหม่นหมอง

“พวกท่านฉลองเร็วเกินไป” นางบอก ท่าทางเป็นกังวลอย่างมาก “หลังจากฝนตก สัตว์ทะเลทรายจะออกมากินน้ำ”

มีเสียงน่ากลัวดังขึ้น �อร์ก้มลงมอง และต้องตกใจเมื่อเห็นกองทัพสัตว์ขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาจากพื้นทราย กรูกันมาทางพวกเขา เมื่อหันไปมองด้านหลัง เขาเห็นแอ่งน้ำฝนที่นองอยู่ และรู้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในเส้นทางของสัตว์ที่กำลังกระหายน้ำ

สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวที่�อร์ไม่เคยเห็นมาก่อนกำลังวิ่งมาทางเขา พวกมันเป็นสัตว์สีเหลืองตัวใหญ่ คล้ายควาย แต่ใหญ่กว่าสองเท่า มีสี่ขาและสี่เขา วิ่งด้วยสองขา กำลังตรงมาทางพวกเขา พวกมันวิ่งด้วยท่าทางตลก ลงวิ่งสี่ขาเป็นครั้งคราวแล้วกระเด้งกลับเป็นสองขาอีก พวกมันคำรามขณะที่วิ่งเข้ามา เสียงคำรามทำให้พื้นดินสะเทือน

�อร์ชักดาบออกมาพร้อมกับคนอื่น ๆ และเตรียมตั้งรับ เมื่อสัตว์ตัวแรกเข้ามาใกล้ �อร์กลิ้งหลบไปด้านข้าง ออกไปพ้นทาง ไม่ได้ฟันมัน เขาหวังว่ามันจะแค่วิ่งผ่านพวกเขาไป และไปหาน้ำกิน

มันก้มหัวลงมาเพื่องับ�อร์ แต่พลาดไปเมื่อ�อร์กลิ้งหลบ เขาต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามันไม่พอใจ มันเลี้ยวกลับมาด้วยความโกร� พุ่งเข้าหา�อร์ ดูเหมือนมันจะอยากให้�อร์ตายมากกว่าต้องการน้ำ

ขณะที่มันพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ลดเขาลงต่ำ �อร์กระโจนขึ้นแล้วเหวี่ยงดาบ ฟันเขาอันหนึ่งของมันขาดเมื่อมันวิ่งผ่านไป มันร้องเสียงแหลม กระโดดขึ้นยืนสองขา แล้วหมุนตัวกลับมา ชนเขาล้มลงกับพื้น

สัตว์ร้ายยกขาขึ้น พยายามจะกระทืบ�อร์ แต่เขากลิ้งหลบพ้นตีนที่กระทืบลงประทับรอยบนพื้นทราย และทำให้เกิดฝุ่นฟุ้ง มันยกขาขึ้นอีก แต่ครั้งนี้�อร์ยกดาบขึ้นแทงเข้าที่อกของมัน

สัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องอีก เมื่อดาบทิ่มลึกเข้าไปสุดด้าม �อร์กลิ้งตัวหลบได้ทันก่อนที่มันจะล้มลงตาย เขาโชคดีที่หลบพ้น เพราะน้ำหนักของมันคงจะทับเขาแบน

เมื่อ�อร์ลุกขึ้นยืน ควายยักษ์อีกตัวก็พุ่งเข้าหาเขา �อร์กระโจนหลบพ้นทาง แต่ถูกเขาของมันเกี่ยวเข้าที่แขน เฉือนเป็นแผล ทำให้เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วทิ้งดาบในมือลง เมื่อไม่มีอาวุ� �อร์จึงหยิบหนังสติ๊กของเขามาใส่ลูกหิน แล้วยิงใส่มัน

สัตว์ร้ายโซเซ และร้องออกมาเมื่อลูกหินกระแทกใส่ตา แต่มันยังคงพุ่งเข้าใส่

�อร์วิ่งไปทางซ้ายแล้วย้ายมาทางขวา พยายามซิกแซกให้พ้นทาง แต่เจ้าควายยักษ์เร็วเกินไป ไม่มีที่ให้วิ่งหนี เขารู้ว่าในไม่ช้าเขาคงจะถูกขวิด ขณะที่วิ่งหนีเขาหันไปมองเพื่อนคนอื่น ๆ พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ดีกว่ากัน ทุกคนกำลังวิ่งหนีพวกสัตว์ประหลาด

สัตว์ร้ายใกล้เข้ามา ห่างเพียงไม่กี่นิ้ว �อร์ได้ยินเสียงมันพ่นลมออกจมูก แล้วดมกลิ่นฟุดฟิด มันโน้มเขาลงมาหา �อร์เตรียมรับการกระแทก

ทันใดนั้น สัตว์ร้ายส่งเสียงร้องออกมา �อร์หันไปเห็นมันถูกยกสูงขึ้นในอากาศ เขามองดูด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาเห็นสัตว์ประหลาดสีเขียวมะนาวตัวใหญ่อยู่ด้านหลังเจ้าควายยักษ์ ตัวขนาดไดโนเสาร์ สูงหนึ่งร้อยฟุต มีฟันคมเรียงหลายแถว มันคาบเจ้าควายยักษ์ไว้ในปาก ราวกับไม่มีพิษสงอะไร ก่อนจะเงยหน้าเขมือบกลืนลงไปในปาก ขยับเคี้ยวแล้วกลืนลงไปในสามคำ ก่อนจะเลียปาก

ควายยักษ์สีเหลืองรอบตัว�อร์ต่างหันหลังวิ่งหนีมัน มันวิ่งไล่ตามไป หางขนาดใหญ่กวัดแกว่งไปตามทาง ฟาดโดน�อร์ ทำให้เขาลอยหน้าทิ่มพื้น แต่มันยังคงวิ่งไล่ตามฝูงควายยักษ์ผ่านพวกเขาไป สนใจพวกสัตว์สีเหลืองมากกว่าพวกเขา

�อร์หันไปมองคนอื่น ๆ ที่ต่างยืนนิ่งกับที่ด้วยความตกตะลึง และมองตอบมาที่เขา

аё­аёґаё™аё”аёЈаёІаёЄа№€аёІаёўаёЁаёµаёЈаё©аё°

“ไม่ต้องห่วง” นางบอก “มันจะเลวร้ายกว่านี้อีก”




аёљаё—аё—аёµа№€ а№Ѓаё›аё”


เจ้าชายเคนดริคเสด็จผ่านลานที่ถูกเผาราบในเขตเมืองสูง มีสร็อก บรอม คอล์ค แอ็ทมี เจ้าชายก็อดฟรีย์ และอัศวินกองรบเงินอีกหลายสิบคนตามเสด็จ ทุกคนเดินไปช้า ๆ อย่างระวัง มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย แสดงอาการว่ายอมแพ้

ขบวนเล็ก ๆ เดินผ่านทหารจักรวรรดินับพันที่ยืนมองอยู่ มุ่งหน้าไปหาแอนโดรนิคัสที่กำลังรออยู่ที่ประตูเมืองที่อยู่ไกลออกไป เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมองพวกเขาเดินผ่านไป บรรยากาศมีแต่ความตีงเครียดหนักอึ้ง ในลานกว้างที่มีทหารนับพันคนชุมนุมอยู่ กลับเงียบจนอาจได้ยินเสียงเข็มหล่น

เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนบอกแอนโดรนิคัสว่าพระองค์จะขอยอมจำนน แล้วขบวนเล็ก ๆ นี้ก็เดินขึ้นมาด้วยกัน แสดงตัวให้เห็นว่าไม่มีอาวุ� ขณะที่เดินผ่านกลุ่มทหารจักรวรรดิ ก่อนที่จะไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้าแอนโดรนิคัส พระหทัยของเจ้าชายเคนดริคเต้นรัวระหว่างที่เสด็จไป พระศอแห้งผากเมื่อทรงเห็นทหารศัตรูหลายพันคนรายล้อมอยู่

เจ้าชายเคนดริคและคนอื่น ๆ ซักซ้อมแผนการมาแล้ว แต่เมื่อทุกคนไปถึงแอนโดรนิคัส และเจ้าชายเคนดริคทรงเห็นถนัดว่าแอนโดรนิคัสตัวใหญ่และป่าเถื่อนเพียงใด พระองค์ทรงภาวนาให้แผนการนี้ได้ผล เพราะหากมันไม่ได้ผล ชีวิตของพวกเขาก็คงจะต้องดับสิ้น

พวกเขาเดินต่อไป เสียงเดือยรองเท้าดังกรุ๊งกริ๊ง จนในที่สุดแม่ทัพคนหนึ่งของแอนโดรนิคัสก็ก้าวออกมา ท่าทางคุกคามและใบหน้าบึ้งตึง เขายื่นฝ่ามือหยาบมายันพระอุระของเจ้าชายเคนดริค ทุกคนหยุดอยู่ห่างจากแอนโดรนิคัสราวยี่สิบฟุต น่าจะเป็นการระวังความปลอดภัย ทหารจักรวรรดิฉลาดกว่าที่เจ้าชายเคนดริคทรงคาดไว้ พระองค์ทรงหวังว่าจะสามารถเดินไปจนถึงตัวแอนโดรนิคัส แต่เห็นได้ชัดว่าคงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น เจ้าชายเคนดริคพระหทัยเต้นเร็วขึ้น พระองค์ทรงหวังว่าระยะห่างนี้จะไม่ทำให้แผนผิดพลาด

ขณะที่ทุกคนยืนนิ่งเงียบ มองหน้ากัน เจ้าชายเคนดริคทรงกระแอมขึ้น

“พวกเรามาเพื่อยอมจำนนต่อแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่” เจ้าชายเคนดริคตรัสด้วยสุรเสียงดัง พยายามใช้น้ำเสียงที่น่าเชื่อถือ ขณะที่ทรงประทับนิ่งอยู่พร้อมกับคนอื่น ๆ ไม่เคลื่อนไหว เงยพระพักตร์ขึ้นสบพระเนตรแอนโดรนิคัส

แอนโดรนิตัสทรงใช้นิ้วพระหัตถ์แตะศีรษะย่อส่วนที่ร้อยไว้กับสร้อยพระศอ ก้มมองดูพวกเขาด้วยสีพระพักตร์ราวกับแสยะหรืออาจะแย้มสรวล

“พวกเรายอมรับข้อเสนอของท่าน” เจ้าชายเคนดริคตรัสต่อ “พวกเราขอยอมแพ้”

แอนโดรนิคัสทรงเอนมาด้านหน้าเล็กน้อย พระองค์ประทับอยู่บนม้านั่งหินตัวใหญ่ ทอดพระเนตรมองทุกคนด้วยพระพักตร์ราวกับแย้มสรวล

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องยอม” พระองค์ตรัสด้วยสุรเสียงดังก้องไปทั่วลาน “เด็กสาวอยู่ที่ไหน?”

เจ้าชายเคนดริคทรงเตรียมคำตอบสำหรับเรื่องนี้

“พวกเราแต่งขบวนมา มีทั้งอัศวินอาวุโสและผู้มียศสูง” เจ้าชายเคนดริคตรัสบอก “พวกเรานำมาก่อน เพื่อประกาศการยอมจำนนต่อท่าน เมื่อพวกเราทำเสร็จแล้ว คนอื่น ๆ จะตามมา หากท่านจะอนุญาต”

เจ้าชายเคนดริคทรงคิดว่าการเพิ่ม “หากท่านจะอนุญาต” เข้าไป เป็นส่วนที่ดี และจะช่วยให้ฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น พระองค์ทรงเรียนรู้บทเรียนสำคัญเมื่อนานมาแล้ว จากที่ปรึกษาด้านการทหารคนหนึ่งว่า เวลาเจรจากับแม่ทัพที่หลงตัวเอง ให้เยินยอตัวตนของมัน มันอาจจะทำผิดพลาดได้มากมายเมื่อถูกเยินยอ เมื่อคุณใช้ประโยชน์จากความยิ่งใหญ่ของพวกมัน

แอนโดรนิคัสเอนหลังกลับเพียงเล็กน้อย แทบจะไม่แสดงท่าทีใด ๆ

“แน่นนอนพวกมันมาได้” แอนโดรนิคัสตรัส “ไม่อย่างนั้นกลุ่มของพวกเจ้าก็คงจะโง่งั่งมากที่มาที่นี่”

แอนโดรนิคัสประทับเฉย ทอดพระเนตรดูพวกเขาราวกับกำลังตัดสินใจ ท่าทางราวกับทรงรู้ว่าบางอย่างไม่ชอบมาพากล เจ้าชายเคนดริคพระทัยเต้นเร็ว

ในที่สุด หลังจากนิ่งอยู่นาน แอนโดรนิคัสดูเหมือนจะตัดสินพระทัยแล้ว

“ก้าวออกมาแล้วคุกเข่าลง” พระองค์ตรัสบอก “พวกเจ้าทุกคน”

คนอื่น ๆ ต่างหันมามองเจ้าชายเคนดริค พระองค์ทรงพยักพระพักตร์

ทุกคนก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์แอนโดรนิคัส

“พูดตามข้า” แม่ทัพสั่ง “พวกเรา ตัวแทนแห่งซิเลเซีย…”

“พวกเรา ตัวแทนแห่งซิเลเซีย…”

“ขอยอมจำนนต่อแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่…”

“ขอยอมจำนนต่อแอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่…”

“ขอปฏิญาณจะจงรักภักดีต่อพระองค์ไปตลอดกาล…”

“ขอปฏิญาณจะจงรักภักดีต่อพระองค์ไปตลอดกาล…”

“และจะขอรับใช้ดุจทาสไปตราบสิ้นกาล…”

เจ้าชายเคนดริคทรงแทบไม่อาจตรัสคำพูดสุดท้ายออกมาได้ พระองค์ทรงกลืนพระเขฬะอย่างยากเย็น ในที่สุดก็ทรงตรัสตามพวกมัน คำต่อคำ

“และจะขอรับใช้ดุจทาสไปตราบสิ้นกาล…”

พระองค์ทรงคลื่นเหียนที่ต้องทำเช่นนั้น พระหทัยเต้นดังอยู่ในพระอุระ ในที่สุดความเจ็บปวดก็ผ่านพ้นไป

เกิดความเงียบน่าอึดอัดตามมา ในที่สุดแอนโดรนิคัสก็แย้มสรวลออกมา

“พวกแม็คกิลเช่นพวกเจ้าอ่อนแอกว่าที่ข้าคิด” พระองค์ทรงคำราม “ข้าคงพอใจที่ได้พวกเจ้ามาเป็นทาส และทำให้พวกเจ้าได้เรียนรู้วิถีของจักรวรรดิ ไปได้แล้ว พาตัวนางมาก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ แล้วฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดเสียเดี๋ยวนี้”

ขณะที่เจ้าชายเคนดริคทรงคุกพระชงอยู่นั้น พระองค์ทรงเห็นภาพที่ผ่านมาในพระชนม์ชีพแวบผ่านเข้ามาในสมอง ทรงรู้ว่านี่จะเป็นช่วงเวลาสำคัญช่วงหนึ่งในพระชนม์ชีพ ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ทรงต้องการ พระองค์ก็จะทรงมีชีวิตอยู่เพื่อเล่าเรื่องราวให้ลูกหลานฟัง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ก็คงต้องนอนเป็นศพในไม่ช้านี้ เจ้าชายเคนดริคทรงรู้ว่าโอกาสมีน้อย แต่พระองค์ก็ต้องคว้าไว้ เพื่อพระองค์เองและราชวงศ์แม็คกิล และเพื่อราชินีเกว็นโดลีน ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีก

ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เจ้าชายเคนดริคทรงเอื้อมไปด้านหลัง หยิบพระแสงดาบสั้นที่ซ่อนไว้ใต้ฉลองพระองค์ออกมา แล้วประทับยืนขึ้น ทรงตะโกนออกมาแล้วพุ่งมันออกไปเต็มแรง

“ชาวซิเลเซียน โจมตี!”

พระแสงดาบของเจ้าชายเคนดริคหมุนคว้าง ตรงไปที่อุระของแอนโดรนิคัส มันการขว้างที่ทรงพลังและแม่นยำ รุนแรงพอที่จะสังหารนักรบคนใดก็ได้

แต่แอนโดรนิคัสทรงไม่ใช่นักรบคนใด ๆ เจ้าชายเคนดริคทรงอยู่ไกลไปเพียงไม่กี่หลา และแอนโดรนิคัสทรงเคลื่อนไหวได้เร็วเกินไป ทรงสามารถหลบพ้นได้ทัน พระองค์ทรงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อพระแสงดาบของเจ้าชายเคนดริคเฉี่ยวพระพาหา จนเกิดแผล และมันยังพุ่งแหวกอากาศไปเสียบเข้าที่ท้องแม่ทัพคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้แอนโดรนิคัสแทน

เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของเจ้าชายเคนดริค ก็เกิดความโกลาหลขึ้นรอบพระวรกาย ทุกคนต่างเอื้อมไปหยิบดาบที่ซ่อนไว้ออกมา แล้วตัดหัวทหารจักรวรรดิที่ยืนอยู่ในหมู่พวกเขา บรอมดึงมีดสั้นออกมาจากเข็มขัด ฉากหลบไปด้านข้าง แล้วเหวี่ยงมีดกลับไปแทงใส่ลำคอของทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ คอล์คหยิบหนังสติ๊กออกมาจากเอว ใส่ลูกหินแล้วยิงโดนศีรษะทหารคนหนึ่งที่กำลังถือคัน�นูยืนอยู่ห่างออกไป ทันก่อนที่มันจะยิงออกมา เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงขว้างมีดสั้นออกไป พระองค์ไม่แม่นยำเหมือนคนอื่น ๆ มีดสั้นพลาดเป้าไปปักเข้าที่ขาของทหารหนุ่มคนหนึ่ง

เสียงตะโกนดังขึ้นทั่วเมื่อทหารจักรวรรดิได้รับบาดเจ็บ ไม่มีใครรู้ตัวว่าจะถูกโจมตี

ในจังหวะเดียวกันนั้น ทหารซิเลเซียที่ซุ่มอยู่รอบลานก็โผล่ขึ้นมาจากพื้น และกำแพง พวกเขาต่างโห่ร้องเสียงดัง เล็ง�นูแล้วยิงออกมา เกิดห่าลูก�นูดำมืดในอากาศ ลูก�นูหลายพันลูกพุ่งข้ามลานไปใส่ทหารจักรวรรดิจากทุกทิศทุกทาง พวกมันถูกโจมตีจากรอบด้าน หันไปทางไหนก็มีแต่เพลี่ยงพล้ำ มีหลายคนตื่นตะหนกจนต่อสู้กันเอง

เจ้าชายเคนดริคทรงตื่นเต้นที่เห็นว่าแผนการของพระองค์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ สร็อกได้เล่าให้พระองค์ฟังเรื่องอุโมงค์ลับที่เชื่อมระหว่างเขตเมืองต่ำและเมืองสูง สร้างขึ้นหากเกิดการบุกยึด เป็นที่หลบภัยเมื่อไม่ทันตั้งตัว ทหารทุกคนรอคอยอย่างอดทน ทุกคนประจำตำแหน่ง รอสัญญาณจากเจ้าชายเคนดริค

ตอนนี้ทหารหลายพันคนโผล่ออกจากที่ซ่อน ยิง�นูใส่พวกจักรวรรดิอย่างรวดเร็วจนพวกมันไม่ทันตั้งตัว เจ้าชายเคนดริคทรงบุกไปข้างหน้า เข้าสู่การต่อสู้ คว้าจากทหารที่ตาย แล้วโจมตีคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ต่อสู้ร่วมกับสหายของพระองค์ แอ็ทมีและคนอื่น ๆ ทหารจักรวรรดิตื่นตะหนกจนชุลมุน วิ่งวุ่นไปทุกทาง ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหน

ทหารซิเลเซียเริ่มได้เปรียบ เจ้าชายเคนดริคทรงสามารถจัดการพวกมันได้สิบกว่าคนก่อนที่พวกมันจะทันได้ยกโล่ขึ้นป้องกันเสียอีก แอ็ทมีต่อสู้ร่วมกับพระองค์แบบหลังชนหลัง เหมือนเช่นที่เคยทำเสมอ สร้างความเสียหายได้มากพอกัน ทุกครั้งที่เจ้าชายเคนดริคทรงฟาดฟันลงไป พระองค์ทรงคิดถึงราชินีเกว็นโดลีน คิดถึงการล้างแค้น

ทหารจักรวรรดิหลายพันคนดูสับสนจนต่างวิ่งหนี มุ่งหน้าไปยังประตูสู่ลานด้านนอก ทหารซิเลเซียบุกเข้าใส่แอนโดรนิคัสและทหารจักรวรรดิ ทำให้พวกมันแตกตื่น แม้จะพยายามตั้งรับแต่ก็ถูกต้อนให้ถอยร่นไปทั้งขบวน พวกมันถูกต้อนผ่านประตูไปเหมือนกับฝูงวัว พยายามที่จะหลบลูก�นูที่สาดลงมาจากทุกทางอย่างสิ้นหวัง เมื่อลูก�นูหมด ทหารซิเลเซียก็ชักดาบออกมาแล้วบุกเข้าใส่พร้อมกับพี่น้องทหารอื่น ๆ

ทหารจักรวรรดิมีจำนวนมาก แต่ไม่ได้เป็นนักรบที่ผ่านการฝึกมา ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ถูกจับมาเป็นทาสรับใช้แอนโดรนิคัส ขณะที่ทหารซิเลเซียแม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ทุกคนเป็นนักรบที่มีฝีมือ แข็งแกร่ง และฝึกฝนมาอย่างดี แต่ละคนมีค่าเท่ากับทหารจักรวรรดิสิบคน นอกจากพวกเขาจะได้เปรียบจากการที่พวกมันไม่ทันตั้งตัวแล้ว พวกเขายังมีความเกรี้ยวกราดแล่นพล่านไปทั่วกาย ทุกคนต่างหลังชนฝา หาทางเอาชีวิตรอด และต้องการที่จะปกป้องผู้เป็นที่รัก พวกเขายังโกร�แค้นแทนราชินีเกว็นโดลีน และเหนืออื่นใดคือทำเพื่อบ้านเมืองของพวกเขา ทุกคนรู้ดีว่าหากพวกเขาไม่อาจมีชัย มันอาจจะหมายถึงความตายของพวกเขา

ทหารซิเลเซียส่งสัญญาณแตร เสียงมันข่มขวัญ คล้ายกับกองทัพมหาศาล มีทหารซิเลเซียโผล่ออกมาจากอุโมงค์ลับมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างบุกไปข้างหน้าราวกับชีวิตขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ ทหารซิเลเซียหลายพันพบกับทหารจักรวรรดิหลายพันคน

การต่อสู้เข้มข้นและรุนแรง โลหิตหลั่งนองทั่วลาน เมื่อดาบปะทะดาบ มีดสั้นปะทะมีดสั้น พวกทหารต่อสู้และมองสบตากัน ชกต่อยกันด้วยมือเปล่า เผชิญหน้าสังหารกัน ในไม่ช้าฝ่ายซิเลเซียก็ได้เปรียบ

เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง ทหารยุวชนหลายร้อยคนโผล่ออกมาจากประตูเขตเมืองต่ำ พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องข่มขวัญ ยกหนังสติ๊ก คัน�นู หอกและดาบขึ้นมา แล้วบุกเข้าสู่การต่อสู้ หวดซ้ายป่ายขวาสังหารทหารจักรวรรดิ และช่วยให้ฝ่ายซิเลเซียได้เปรียบ กองทหารยุวชนก็เป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แม้จะอายุน้อย พวกเขาวิ่งเข้าใส่ พลางตะโกนเรียกพระนามราชินีเกว็นโดลีนและชื่อ�อร์

ทหารยุวชนสร้างความเสียหายได้มากพอกับทหารคนอื่น ๆ ทุกคนเข้าร่วมการต่อสู่อย่างกลมกลืน ผลักดันทหารจักรวรรดิล่าถอยออกไปนอกประตู ในไม่ช้าสถานการณ์ศึกก็เป็นผลดีต่อพวกเขา ศพทหารจักรวรรดิกองอยู่ทุกหนทุกแห่ง คนที่ยังไม่ตายต่างก็ตกใจกลัวและวิ่งหนี ทหารจักรวรรดินับล้านคนอยู่ที่ด้านนอกประตู แต่บริเวณนั้นเป็นคอขวด ทหารที่วิ่งหนีออกไปขวางทางไว้ ทำให้พวกมันเข้ามาไม่ได้

แอนโดรนิคัสทรงผุดลุกขึ้นด้วยความกริ้ว และกระโดดเข้าร่วมในการต่อสู้ ตอบโต้ทหารซิเลเซียที่บุกเข้ามาหา และโจมตีทหารของพระองค์เอง ทรงใช้พระหัตถ์เปล่าจับตัวทหารขึ้นมาแล้วจับหัวโขกกัน ก่อนจะหักคอ ฆ่าพวกมันในทันที

“พวกเราจะไม่ถอยหนี!” แอนโดรนิคัสทรงตะโกน

พระองค์ทรงหยิบดาบมาจากมือทหารแล้วแทงเข้าที่หัวใจของพวกมันด้วยอาวุ�ของพวกมันเอง ทรงสร้างความเสียหายได้อย่างใหญ่หลวง แต่น่าขันที่กลับช่วยฝ่ายซิเลเซีย

แม่ทัพคู่ใจของพระองค์หลายคนก็ร่วมต่อสู้อย่างเหี้ยมโหดไม่แพ้กัน

แต่พวกเขาไม่สามารถยับยั้งความโกลาหลที่เกิดขึ้นได้ คลื่นทหารไหลมาทางพวกเขา แม้จะพยายามเพียงใด ก็ถูกดันให้ถอยร่นผ่านประตูด้านนอกไป

ในไม่ช้าก็ไม่มีทหารจักรวรรดิเหลืออยู่ที่ลานด้านในแม้สักคนเดียว ทหารยุวชนตะลุยไปที่ประตู พวกเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญ เมื่อไปถึงประตูทุกคนต่างช่วยกันดึงเชือกเส้นใหญ่สุดแรง ทหารยุวชนมากกว่าหนึ่งคนต้องตายไปขณะที่ดึงเชือก และตกเป็นเป้า แต่พวกเขาก็ไม่ถอยหนี ในที่สุดประตูเหล็กบานใหญ่ก็ถูกลดต่ำลงและกระแทกปิด กั้นเมืองไว้จากกองทัพจักรวรรดิ




Конец ознакомительного фрагмента.


Текст предоставлен ООО «ЛитРес».

Прочитайте эту книгу целиком, купив полную легальную версию (https://www.litres.ru/pages/biblio_book/?art=43698263) на ЛитРес.

Безопасно оплатить книгу можно банковской картой Visa, MasterCard, Maestro, со счета мобильного телефона, с платежного терминала, в салоне МТС или Связной, через PayPal, WebMoney, Яндекс.Деньги, QIWI Кошелек, бонусными картами или другим удобным Вам способом.



Если текст книги отсутствует, перейдите по ссылке

Возможные причины отсутствия книги:
1. Книга снята с продаж по просьбе правообладателя
2. Книга ещё не поступила в продажу и пока недоступна для чтения

Навигация